วิธีการเลือกกรอบให้เหมาะกับภาพ

วิธีการเลือกกรอบให้เหมาะกับภาพ

โดยอาจารย์ไพศาล ชุ่มสุวรรณ 

          งาน ศิลปะแต่ละประเภทใช้วัสดุและเทคนิคแตกต่างกัน ความคงทนจึงไม่เหมือนกัน ดังนั้นในการใส่กรอบนั้นจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสม อาจแยกตามประเภทงานศิลปะได้ดังนี้

1.   ภาพจิตรกรรมสีน้ำมัน และสีอะคริลิก (Oil and Acrylic Painting)

ทั้งสีน้ำมันและสีอะคริลิก จะเขียนลงบนเฟรม โดยการใช้ผ้าใบ (Canvas) ที่ขึงมาบนกรอบไม้ เพื่อให้สีที่เขียนไม่เกิดการแตกร้าว กรอบ รูปส่วนใหญ่ใช้ไม้กรอบรูปติดกับกรอบเฟรมผ้าใบ หรือกรอบผ้าไหมหรือผ้าชนิดอื่นๆ ก่อน ถึงใส่กรอบไม้อีกชั้น การเลือกกรอบรูปชนิดนี้ไม่นิยมใส่กระจกปิดด้านหน้ารูป เพราะสีที่ใช้มีความคงทนมากอยู่แล้ว การทำความสะอาดก็แค่เพียงใช้ไม้ขนไก่ปัดเท่านั้น

2.   ภาพจิตรกรรมสีน้ำ (Water Colors)

เป็น การเขียนระบายสีน้ำบนกระดาษวาดเขียน ซึ่งมีลักษณะบอบบาง ความชื่นทำให้กระดาษโค้งงอได้ ดังนั้นก่อนใส่กรอบควรให้ภาพแห้งสนิท และเลือกอาจใช้แบบแบนเส้นเล็ก แบบโค้งครึ่งวงกลม และแบบโค้งลาด โดยด้านหลังรองด้วยการะดาษการ์ดแข็ง อาจปิดด้วยแม็ท

3.   งานศิลปะวาดเส้น (Pencil Drawing) สีเทียน(Pastels) และถ่านชาร์โคล (Charcoal)

ควรใช้วัสดุไม้กรอบรูปชนิดแบบง่ายๆ เหมือนกับการใส่กรอบรูปในงานจิตรกรรมสีน้ำเช่นกัน เพราะการปฏิบัติงานเขียนรูปส่วนใหญ่การใช้สีเหล่านี้จะเขียนกระดาษ แต่วัสดุสีเหล่านี้มีโอกาสที่จะลอกออกได้ง่ายกว่าสีน้ำ ในระหว่างปฏิบัติการใส่กรอบอย่าให้มือไปถูกรูปโดยเด็ดขาด ดังนั้นการใส่รูปเพื่อที่จะป้องกันพื้นผิวของงานศิลปะ โดยการติดกรอบ Mount Board บังรูป โดยเจาะช่องตรงกลางให้เห็นรูปเขียน และกรอบ Mount Board หน้ารูปนี้ยังเป็นส่วนกั้นมิให้กระจกติดแนบกับรูป ซึ่งอาจทำให้สีดินสอ ถ่านชาร์โคล หรือ สีเทียนติดกระจกได้

4.   งานศิลปะภาพพิมพ์ (Graphic Art)

งานศิลปะภาพพิมพ์เป็นประเภทงานศิลปะที่มีเทคนิคการทำแม่พิมพ์หลายอย่างด้วยกัน เช่น แม่พิมพ์ แกะไม้ (WOOD CUT) แม่พิมพ์โลหะกัดกรด แม่พิมพ์หิน แม่พิมพ์ตะแกรงไหม (SILK SCREEN) และภาพพิมพ์ถู (RUBBING) เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคในงานศิลปะภาพพิมพ์ จะพิมพ์ลงบนกระดาษ ขนาดของไม้กรอบรูป ควรใช้ลักษณะเรียบแนวแคบเล็ก และควรใช้กรอบ Mount Board สีขาว ตัดเจาะช่องกลางให้เห็นภาพ การเลือกใช้สีขาวเพราะงานภาพพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นสีขาว ดำ แต่ในปัจจุบันนี้ศิลปะภาพพิมพ์ร่วมสมัย จะมีสีสดใสเด่นชัด และ มีลวดลายมากขึ้น

การทำกรอบ Mount Board  จะตัดเป็นช่องตรงกลางให้ใหญ่กว่าขอบของรูปภาพ เพื่อให้เห็นชื่อใต้ภาพที่ศิลปินได้เขียนไว้ และกรอบ Mount Board ซึ่งเป็นกระดาษการ์ดแข็งนี้มีความกว้างด้านหน้าประมาณ 3-5" ประโยชน์ของกรอบ Mount Board จะช่วยให้ภาพดูเด่นชัด และยังเป็นส่วนปิดบัง ขอบนอกของกระดาษพิมพ์ที่ไม่เรียบร้อย เช่นรอยเปรอะเปื้อนต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นตัวกั้นระหว่างงานศิลปะกับกระจกใสไม่ให้แนบชิด เพื่อป้องกันความเปียกชื้นที่จะก่อให้เกิดเชื้อราบนภาพได้ และป้องกันหมึกพิมพ์ของงานศิลปะไม่ติดกับกระจกใสได้

5.   งานภาพถ่าย (Photographs)

งานศิลปะภาพถ่าย มีลักษณะแตกต่างกับงานศิลปะอื่นๆ เพราะ ว่าผิวหน้าของกระดาษรูปถ่ายนั้นถูกเคลือบด้วยน้ำยาสร้างรูปจากฟิล์มง่ายต่อ การที่จะเป็นรอยขูดขีดและอาจเป็นรอยด่างของลายนิ้วมือขึ้นบนภาพซึ่งต่างจาก รอยด่างบนผิวกระดาษ อาจจะทำให้เกิดการเติบโตของเชื้อราหากรูปได้รับความชื้น ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือแก้ไขได้ ทำให้รูปภาพเกิดความเสียหาย นอกจากการป้องกันด้วยวิธีการใส่กรอบรูปที่ดี

โดยปกติภาพถ่ายเมื่อได้รับความชื้นจะทำให้กระดาษรูปภาพเกิดการพองโค้งงอขึ้น ดังนั้นในการทำกรอบรูปภาพ จึงต้องติดภาพถ่ายลงบนกระดาษการ์ดแข็งรองหลังภาพด้วยกาวยาง ให้เรียบร้อยเสียก่อน และใช้กรอบ Mount Board  เจาะช่องกลางให้เห็นภาพถ่ายปิดทับ และใส่กรอบกระจกทับชั้นบนอีกครั้งหนึ่ง

แต่ในปัจจุบันการใส่กรอบภาพถ่ายเพื่อให้ภาพมีความคงทนจะใช้วิธีการใส่กรอบเคลือบเรซิน หรือกรอบวิทยาศาสตร์ที่ให้แผ่นฟิล์มใสปิดทับหน้ารูปถ่ายโดยใช้กาวเรซินเป็นตัวเชื่อมติดให้ภาพพิมพ์ใสติดแน่นแนบสนิท อากาศเข้าไม่ได้ ซึ่งจะช่วยรักษาภาพถ่ายให้มีความคงทนมากกว่าการใส่กรอบภาพโดยใช้กระจกใส

6.   งานศิลปะลายถัก และสิ่งทอ (Needle Art and Fabric)

ส่วนมากงานชนิดนี้ จะติดยึดงานศิลปะบนกระดาษแข็ง (HARD BOARD) แล้วใส่กรอบไม้ หรืออาจจะติดกรอบ Mount Board ครอบคลุมด้านหน้าโดยเจาะช่องตรงกลางให้มองเห็นงานศิลปะ การเลือกสีของกรอบนี้ควรให้เหมาะสมโดยให้ผลงานศิลปะเด่นชัด และเข้ากันกับลวดลายของสิ่งทอหรือลายถักด้วย เพื่อติดกรอบ Mount Board แล้วใช้กระจกมาปิดกรอบทับและใส่กรอบไม้ การใส่กระจกเพื่อต้องการป้องกันรักษาผิวลายผ้าของงานศิลปะ เช่น ฝุ่น ความชื้น หรืออื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้ ยิ่งถ้างานศิลปะลายถักและสิ่งทอนั้นเป็นของเก่าแก่บอบบางและเป็นของที่มีค่าราคาแพงด้ายแล้วการใส่กรอบรูป ควรจะใช้กระจกใสปิดหน้าประกอบด้วย

7.   งานศิลปะภาพแขวนลายผ้าพรมต่างๆ (Tapestries, Weaving and Rugs)

งานศิลปะพวกนี้ได้แก่ผ้าม่านมีดอกปัก ใช้แขวนปิดกำแพงบ้านมีใช้ในสมัยก่อน (TAPESTRIES) ลายทอผ้าอย่างหนา หรือลายสานถัก (WEAVING) และผ้าพรมชนิดหนา หรือพื้นเล็กๆ สำหรับปูหน้าเตียง หรือหน้าเตายิงไฟ (RUGS) มีความงามหากจะนำมาประดับฝาผนังห้องได้ งานศิลปะประเภทนี้เป็นภาพแขวนแนบ นาบและมีน้ำหนัก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกรอบยึดด้านบนตลอดแนวเช่น อาจใช้ไม้ หรืออะลูมิเนียมก็ได้ เพื่อแขวนจะได้เรียบสม่ำเสมอผ้าของงานศิลปะไม่โค้งงอพับลงมา แต่ถ้างานศิลปะนี้มีลักษณะบอบบางหรือเป็นของเก่าแก่มีค่าราคาแพงมากก็ควรที่จะทำกรอบ คล้ายกล่องบรรจุซอง ด้านหน้าเป็นกระจกแขวนบนฝาผนังได้

8.   งานศิลปะที่เกี่ยวกับของที่ระลึก (Collection)

ในงานศิลปะประเภทนี้ คือของที่ระลึกต่างๆ ที่เป็นของเก่าเช่นเงินเหรียญเก่าๆ ของชำร่วยงานต่างๆ หรืออาจจะเป็นเครื่องลายครามชิ้นเล็กๆเป็นต้น ที่สะสมไว้ถ้าใส่ตู้โชว์ งานบางชิ้นไม่เหมาะสมไปกว่าการติดโชว์แขวนบนฝาผนังห้อง แต่วัสดุของที่ระลึกเหล่านี้เป็นของเก่า ที่มีค่าราคาในงานบางชิ้น การนำใส่กรอบควรมีความระมัดระวัง โดยเฉพาะลักษณะของเหล่านี้จะมีความหนาการใส่กรอบควรจะเป็นลักษณะคล้ายกล่อง และมีกระจกด้านหน้ากระจกใสจะอยู่ห่างจากงานศิลปะ สิ่งที่สำคัญคือ การติดงานศิลปะบนพื้นหลังกรอบ ซึ่งอาจจะใช้กระดาษการ์ดแข็งหรือผ้าทอสีต่างๆ อยู่บนพื้นหลังแล้วติดงานศิลปะลงไป การติดต้องพิจารณางานแต่ละชิ้นจะใช้วิธีใดที่ไม่ทำลายงานนั้น เช่น อาจใช้กาวยางน้ำ ใช้ลวดเกี่ยวทำขอแขวน หรือ อาจใช้ด้ายเชือก เส้นเอ็น ผูกติดก็ได้ เป็นต้น ตามความเหมาะสม

การพิมพ์สกรีนขั้นพื้นฐาน 1 สี


การพิมพ์สกรีน
เป็นระบบการพิมพ์ที่ใช้หลักการปาดสีหรือหมึกพิมพ์ผ่านผ้าสกรีนที่ขึงตึงบนกรอบที่ทำขึ้น โดยปิดและเปิดบริเวณรูผ้าสกรีนให้มีลายภาพตามความต้องการ การพิมพ์นี้สามารถพิมพ์ได้กับวัสดุหลายชนิด เช่น กระดาษ สติกเกอร์ ไม้ ผ้า กระจก กระเบื้อง เซรามิค พลาสติก โลหะ ฯลฯ และหลายรูปทรง เช่น วัสดุพื้นราบ ทรงกระบอก และวัสดุรูปทรงไข่ เป็นต้น ทั้งที่มีขนาดเล็ก จนถึงขนาดใหญ่โดยไม่จำกัด
ปัจจุบันระบบการพิมพ์สรีนเข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมการพิมพ์ และวงการศึกษามากขึ้น เช่น ใช้พิมพ์สินค้าให้สวยงามน่าใช้ ใช้พิมพ์ป้าย งานสื่อโฆษณา - ประชาสัมพันธ์ ตลอดจนสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เป็นต้น และนับว่าเป็นระบบการพิมพ์งาน์ที่ใช้ลงทุนน้อยโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ - เครื่องมือเครื่องใช้เพียงไม่กี่ชนิดก็สามารถพิมพ์ได้
กระบวกการพิมพ์สกรีน เป็นระบบการพิมพ์ที่มีขั้นตอนการทำงานที่ง่ายสามารถจำแนกออกได้ 3 ขั้นตอน คือ
1. การเตรียมแม่พิมพ์สกรีน (Pre - Stencil) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ
    - การขึงสกรีน
    - การทำความสะอาดสกรีน
2. การสร้างแม่พิมพ์สกรีน (Stencil) สามารถสร้างได้ 2 วิธี คือ
    - สร้างแม่พิมพ์โดยไม่ใช้แสง (Non- Exposure)
    - สร้างแม่พิมพ์โดยวิธีถ่ายด้วยแสง (Exposure)
3. การพิมพ์สกรีน (Printing) แบ่งตามลักษณะการพิมพ์สกรีนได้ 3 แบบ คือ
    - การพิมพ์แบบสีเดียวหรือหลายสี (Single / Multi Colour ) พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์สีทึบ ซึ่งสีแต่ละสีเกิดจากการพิมพ์สีละ 1 ครั้ง โดยการพิมพ์ลายภาพที่เป็นแบบสีเดียวหรือหลายๆ สีก็ได้
    - การพิมพ์แบบหมึกชุดสอดสี ( Process Colour ) พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์ชุดสอดสี ใช้หมึกกึ่งโปร่งแสง ประกอบด้วย สีเหลือง สีบานเย็น สีคราม และสีดำ การพิมพ์ด้วยหมึกประเภทนี้ จะเป็นการพิมพ์โดยใช้เม็คสกรีนพิมพ์ซ้อนหรือเหลื่อมกันเพื่อให้เกิดการผสมผลานกันระหว่างหมึกพิมพ์ได้สีต่าง ๆ ออกมามากมายตามต้นฉบับ
    - การพิมพ์ด้วยเทคนิคพิเศษ ( Special Effect ) เป็นการพิมพ์ลงบนชิ้นงานบางชนิดที่ไม่สามารถพิมพ์ด้วยระบบทั่วๆ ไป เช่น การพิมพ์วัสดุรูปทรงศรี วัสดุผิวโค้ง และวัสดุผิวขรุขระ เป็นต้น
บล็อกสกรีน
กาวอัดสกรีน ซ้าย
น้ำยาไวแสง  ขวา


ยางปาดสี




ปัจจุบันระบบการพิมพ์สรีนเข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมการพิมพ์ และวงการศึกษามากขึ้น เช่น ใช้พิมพ์สินค้าให้สวยงามน่าใช้ ใช้พิมพ์ป้าย งานสื่อโฆษณา - ประชาสัมพันธ์ ตลอดจนสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เป็นต้น และนับว่าเป็นระบบการพิมพ์งาน์ที่ใช้ลงทุนน้อยโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ – เครื่องมือเครื่องใช้เพียงไม่กี่ชนิดก็สามารถพิมพ์ได้ และสามารถทำให้ท่านนำไปประกอบอาชีพได้โดยลงทุนไม่มากนักแต่ ทำเงินได้เกินพอเชียวล่ะ
เช่น..ลองพิมพ์เสื้อยืดไว้ขาย หรือ พิมพ์วัสดุต่างๆ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้านั้นๆ
1.อุปกรณ์ การทำสกรีนเบื้องต้น (สำหรับผู้ฝึกทำใหม่)
1.กาวอัดสกรีน 1 ขวด
2.น้ำยาไวแสง 1 ขวด
3.บล็อกสกรีน 1 บล็อก
4.ยางปาดสี 1 อัน
5.กระจกใส  1  แผ่น
6.สีสกรีนผ้า  1  ขวด
7.ผงล้างบล็อกสกรีน 1  ขวด


2. การเตรียมสร้างแบบสกรีน(ต้นฉบับสำหรับพิมพ์เสื้อ)
1. นำกระดาษขาว เอ 4 ธรรมดา วางลงบนโต๊ะ
2. วาดแบบอะไรก็ได้ตามต้องการ แต่ต้องวาดด้วยหมึกสีดำ
หรือปากกาหมึกดำ และต้องวาดด้านเดียว หรือจะใช้อิงค์เจ็ทพิมพ์แบบสี
ดำลงบน กระดาษ เอ4 ก็ได้ (ต้องเน้นใช้หมึกดำนะครับ ห้ามใช้สีอื่น)
3. นำกระดาษขาวที่วาดแบบแล้ว วางลงบนกระจกใสที่ให้มา เอาสำลีจุ่ม
น้ำมันพืชที่หาได้ในครัว ถูทาให้ทั่วแผ่นกระดาษ (เพื่อให้กระดาษนั้นใส
ขึ้น แต่ต้นแบบของเราต้องไม่ซึมนะครับ)

3.การเริ่มต้นทำบล็อกสกรีน(เบื้องต้น)
1. เทกาวอัดลงในภาชนะ ประมาณ 5 ช้อน
2. เทน้ำยาไวแสง 1 ช้อน
3. ผสมกาวอัดและน้ำยาไวแสงเข้าด้วยกัน คนให้เข้ากัน(จะออกสีน้ำตาลๆ)
4. นำกาวอัดที่ผสมเสร็จแล้ว เทลงหลังบล็อกสกรีนให้ปริมาณพอควร
5. เอายางปาดสกรีนที่เช็ดแห้งแล้ว ปาดกาวอัด ขึ้นและลงให้ทั่วๆบล็อกสกรีน
และพยายามให้กาวอัด ราบเรียบ อย่าให้กาวดูแล้วหนานะครับ
6. เศษกาวอัดที่ด้านข้างๆของบล็อกสกรีน หาเศษผ้ามาเช็ดทิ้งไป อย่าให้เยิ้มเป็น
ก้อน อาจจะมีปัญหาเวลาเป่าบล็อกแล้วมันไม่ค่อยจะแห้ง
7. จากนั้น ก็นำเอาไดร์เป่าผม มาเป่าบล็อกสกรีนดังกล่าวให้แห้ง (ขณะที่เป่าควรทำในที่มืดๆ พยายามอย่าให้โดนแสงสว่าง และห่างประมาณ 1 ฟุต) วิธีสังเกตว่าบล็อกแห้ง หรือยังนั้น ควรดูว่า กาวที่ฉาบลงไปนั้น มีสีที่ใสขึ้นแล้วหรือยัง (สีสันมันจะดูใสๆแบบลูกโป่งที่เราเป่าให้พองโต)
8. เมื่อเป่าบล็อกสกรีนด้วยลมร้อนจนแห้งดีแล้ว..
จงจำไว้ว่า กาวอัดบนบล็อกสกรีนที่แห้งแล้วนั้น เปรียบเสมือน ฟิลม์ถ่ายรูปดีๆนี่เอง..ดังนั้นจึงต้องระวังอย่าให้ถูกแสงที่สว่างจ้าขณะที่เก็บบล็อกไว้ เพื่อการเตรียมอัดบล็อกสกรีนต่อไป

การเริ่มต้นทำบล็อกสกรีน
4. การอัดบล็อกสกรีน เพื่อสร้างแม่แบบ บล็อกสกรีน
1. นำกระจกใสที่เราเอาแบบวาดหรือแผ่นกระดาษ ซึ่งชุบทาถูน้ำมันพืชไว้
เรียบร้อยแล้วนั้น มาวางทาบกับด้านหลังของบล็อกสกรีนตามลำดับ(ดังรูป)
  •  กระจก
  • กระดาษต้นฉบับ
  • บล็อกสกรีน
  • กระดาษดำ(ใช้กระดาษคาร์บอนก็ได้)
  • หนังสือหนาๆ
                   
2. ด้านหน้าของบล็อกสกรีนนั้น เอากระดาษดำ(ใช้กระดาษก็อปปี้ก็ได้ครับ) หรือผ้าดำ วางทับไว้
3. ใช้มือจับนำอุปกรณ์ทั้งหมด(ดังในภาพ)หงายขึ้น แล้วส่องให้ถูกกับแสงแดด โดยใช้เวลาประมาณ 10 วินาที (กรณีแดดจ้า)
4. หลังจากนั้น ก็นำบล็อกสกรีนที่ผ่านการฉายแสงแล้ว มาล้างด้วยน้ำเปล่าธรรมดา หรือฉีดด้วยสายยางน้ำประปา เพื่อให้ภาพที่ถ่ายไว้ในบล็อกสกรีนปรากฏขึ้น
5. จากนั้นก็นำบล็อกสกรีนนี้ไปตากแดด หรือ เป่าด้วยลมร้อนจากไดเป่าให้แห้งสนิท
6. นำเทปกาวย่นธรรมดาที่มีขายทั่วไป ปะติดขอบบล็อกด้านนอก(ด้านหลัง)ทั้ง 4 ด้าน เป็นอันว่า เสร็จแล้วครับ.. คุณจะได้บล็อกสกรีนที่พร้อมใช้งานแล้วครับ.


ขั้นตอนการพิมพ์ผ้า
5. ขั้นตอนการพิมพ์ผ้า..หรือเสื้อยืด
1. นำเสื้อ หรือ วัสดุที่เป็นประเภทผ้า มาวางไว้บนพื้นโต๊ะที่ราบเรียบ ถ้าเป็นไปได้ ให้ใช้ไม้อัด หรือ แผ่น ฟิวเจอร์บอร์ด (แผ่นพาสติกลูกฟูก) ตัดให้เล็กกว่าตัวเสื้อเล็กน้อย สอดในตัวเสื้อ แล้วเอามือลูบให้ราบเรียบ(ถ้าไม่เรียบให้ซื้อกาวยึดผ้ามาทาก่อน แล้วผ้าจะเรียบไม่ย่น การพิมพ์ก็จะง่ายขึ้นครับ)
2. นำบล็อกสกรีนที่เตรียมไว้ มาวางบนเสื้อที่ต้องการจะพิมพ์
3.เทสีสกรีนที่เตรียมไว้ ลงบนบล็อกสกรีน
4.ใช้ยางปาด ปาดสีผ่านบล็อกสกรีน ไปมา 2-3 ครั้ง แล้วยกบล็อก ขึ้น ถ้าจะพิมพ์หลายๆตัว ก็ ยกบล็อกไปพิมพ์ตัวต่อไป ด้วยวิธีเดียวกัน จนหมดชิ้นงานที่จะพิมพ์ 

6. ขั้นตอนการล้างบล็อก
1. จำไว้นะครับ พิมพ์เสื้อเสร็จแล้ว ต้องล้างบล็อกทันที (เน้น..นะครับ ต้องล้างบล็อกทันทีที่พิมพ์เสร็จ.)
2. นำบล็อกสกรีนที่ ใช้แล้ว ปาดสีออกให้หมด
3. จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำเปล่าธรรมดา โดยเอาน้ำราดบล็อกทั้งสองด้าน แล้วเช็ดด้วยผ้าแห้งให้สะอาด เพื่อการใช้งานใช้ครั้งต่อไป.

 
7. ตู้ฉายแสง
สำหรับท่าน ที่ต้องการทำ ตู้ฉายแสง
คิดว่าทำไว้สักตู้ ก็ไม่เสียหลายครับ ก็ในระยะยาว คิดว่าคุ้มครับ จ้างเขาทำบล็อดสกรีน ขั้นต่ำก็ 300-700 บาท ต่อ 1 บล็อค แล้วแต่ขนาด ขนาดใหญ่ ก็แพงขึ้น เราทำเองดีกว่าครับ ทำเสร็จแล้ว ไม่ชอบใจ ก็ล้างบล็อคทำใหม่ได้ อยากจะทำวงจรอะไร ก็ทำได้ ยังไงก็ลองไปดัดแปลงทำดูครับ ใส้สวิตเปิดปิดไฟก็จะดีหน่อย เครื่องต้นแบบ รีบทำไปหน่อย เสียบปลักแล้วติดเลย กระจกก็ไปหาซื้อ ร้านที่ทำกระจก หรือ แผ่น อะคริลิค ก็ได้ หนาหน่อย 5 มิลลืขึ้น เพราะต้องการความแข็งแรง แต่ถ้ากระจกจะดีกว่า เพราะเช็คทำความสะอาดง่ายกว่า และเป็นรอยยากกว่า บางท่านอาจจะดัดแปลง นำไม้มาตีเป็นกล่อง ก็ได้ หาอะไรปิดให้รอบกล่อง แล้วเจะกล่องข้างล่าง ยัดหลอดไฟเข้าไป แล้วนำกระจกมาวางด้านบน ต่อสายไฟให้พร้อม แล้วทดสอบแสง เป็นการเสร็จ

ตู้ฉายแสง

ตัวแปรสำหรับคำนวณมาตรวัด

 
 
พื้นที่คูณด้วย
 ตารางนิ้วเป็นตารางเซ็นติเมตร 6.451
 ตารางเซ็นติเมตรเป็นตารางนิ้ว 0.15
 ตารางฟุตเป็นตารางเมตร 0.09
 ตารางเมตรเป็นตารางฟุต 10.76
 ตารางหลาเป็นตารางเมตร 0.84
 ตารางเมตรเป็นตารางหลา 1.20
 ตารางไมล์เป็นตารางกิโลเมตร 2.59
 ตารางกิโลเมตรเป็นตารางไมล์ 0.39
 เอเคอร์เป็นเฮคเตอร์ 0.40
 เฮคเตอร์เป็นเอเคอร์ 2.47

ความยาวคูณด้วย
 นิ้วเป็นเซ็นติเมตร 2.54
 เซ็นติเมตรเป็นนิ้ว 0.39
 นิ้วเป็นมิลลิเมตร 25.40
 มิลลิเมตรเป็นนิ้ว 0.04
 ฟุตเป็นเมตร 0.31
 เมตรเป็นฟุต 3.28
 หลาเป็นเมตร 0.91
 เมตรเป็นหลา 1.09
 ไมล์เป็นกิโลเมตร 1.61
 กิโลเมตรเป็นไมล์ 0.62

ปริมาตรคูณด้วย
 คิวบิคนิ้วเป็นคิวบิคเซ็นติเมตร 16.39
 คิวบิคเซ็นติเมตรเป็นคิวบิคนิ้ว 0.06
 คิวบิคฟุตเป็นคิวบิคเมตร 0.03
 คิวบิคเมตรเป็นคิวบิคฟุต 35.32
 คิวบิคหลาเป็นคิวบิคเมตร 0.76
 คิวบิคเมตรเป็นคิวบิคหลา 1.31
 คิวบิคนิ้วเป็นลิตร 0.02
 ลิตรเป็นคิวบิคนิ้ว 61.03
 แกลลอนเป็นลิตร 4.55
 ลิตรเป็นแกลลอน 0.22
 จากแกลอน (US) เป็นลิตร 3.79
 จากลิตรเป็นแกลอน (US) 0.26
 จากออนซ์เป็นลูกบาศก์มิลลิเมตร 30.77
 จากลูกบาศก์มิลลิเมตรเป็นออนซ์ 0.03

น้ำหนักคูณด้วย
 ออนซ์เป็นกรัม 28.35
 กรัมเป็นออนซ์ 0.04
 ปอนด์เป็นกิโลกรัม 0.45
 กิโลกรัมเป็นปอนด์ 2.21
 Long Tons เป็นตัน 1.02
 ตันเป็น Long Tons 0.98
 Short Tons เป็นตัน 0.91
 ตันเป็น Short Tons 1.10

Shell script for automating The Dude backups

Now that I have a better understanding of how The Dude handles parent / sibling relationships I can vouch for what a great tool it is for monitoring. This freeware application written by the guys from Mikrotik is a very potent and feature rich monitoring tool.
This morning I was looking at automating its backups and found this script on the forums. I did change one or two small things in the script, mostly just two rm -d commands with rm -rf.


#!/bin/sh

# this is script for remote backup MukroTik Dude database
# requires: sh, awk, wget
#
# result XML file will be placed in "dude-backup-files" directory (if you don't change this value)
#
# by mr.Z ([email protected])
# ver 1.1p, 2009

##############################################################################################

# Edit 5 lines below for access to your server and set work/backup directory. USE ABSOLUTLEY PATH FOR DIRECTORIES

server=x.x.x.x                          # enter server name or IP address
user=admin                              # enter admin user name
password=                               # enter admin password
backupdir=/home/wayne/dude-backup/data          # set directoryfor backup files
workdir=/home/wayne/dude-backup/work            # set directory for temporary files (ATTENTION! AFTER WORK IT WILL BE DELETED)

# OPTIONALLY you can set server port and log file
serverport=80
logfile=$backupdir/log.txt

##############################################################################################

# DO NOT EDIT ANY LINES BELOW

PATH=/sbin:/bin:/usr/sbin:/usr/bin:/usr/local/sbin:/usr/local/bin
# creating directories for work and backup file
if [ ! -e "$workdir" ]
    then
    mkdir -p "$workdir"
fi
if [ ! -e "$backupdir" ]
    then
    mkdir -p "$backupdir"
fi

if [ ! -e "$backupdir/old" ]
    then
    mkdir -p "$backupdir/old"
fi

today=`date +%Y.%m.%d`  #setting today date (need for getting file from server)
serverfilename=backupbackup-$today.xml  #setting file name on server
backupname=dude-backup-$today.xml
echo "-------------------------------------------------------
Starting new backup procedure at $today
" >> $logfile


# moving last backup to old directory
mv $backupdir/*backup* $backupdir/old 2> /dev/null

# getting file from dude server
echo "Authorizing..."
wget --cookies=on --keep-session-cookies --save-cookies=$workdir/cookie.txt --progress=dot:mega "http://$server:$serverport/dude/main.html?process=login&user=$user&password=$password" -O $workdir/page1.html 2>> $logfile
echo "Please wait, downloading backup XML file. This may take long time..."
wget --cookies=on --load-cookies=$workdir/cookie.txt --progress=dot:mega "http://$server:$serverport/dude/$serverfilename?page=savefile&download=yes" -O $backupdir/$backupname 2>> $logfile


# cleaning
echo "Cleaning..."
rm -rf $workdir/*
#rm -d $workdir

# checking for new backup file and cleaning old

if [ `du $backupdir/$backupname | awk -F" " '{print($1)}'` -gt 0 ]
    then
    rm -rf $backupdir/old/*
    #rm -d $backupdir/old
    echo "All done."
    else
    rm -f $backupdir/$backupname
    echo "Backup failed! (see log.txt in $backupdir direectory)"
    echo "Backup failed!" >> $logfile
fi

echo "
Backup procedure finished.
-------------------------------------------------------
" >> $logfile
exit

ปรับแต่ง Blogger ให้แรงสุดๆ ด้วย SEO Optimization

ตอนที่ 1


Blogger นอกจากจะฟรีแล้วยังมี Theme สวยๆให้เลือกมากมาย

ไม่ต้องห่วงเรื่องแบนวิทธิ์ ห่วงแต่ว่า มันจะแบนเรา

วันนี้มาแนะนำวิธีปรับแต่ง Onpage ให้ Blogger กันครับ


วิธีแรก ปรับให้หัวข้อเรื่อง หรือ keyword มาก่อน description ตรง title bar อะครับ

(ก่อนทำอย่าลืม back up template ไว้ก่อนนะครับ)


วิธีใส่ Meta tag และ Meta Description

ตอนที่ 2

จากบทความข้างต้น ผู้เขียนได้ทำการทดสอบการทำ SEO โดยการปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถทำอันดับในหน้าแสดงผลการค้นหาได้สูงๆในหน้าแรก โดยเน้นให้ความสำคัญ ดังนี้

1. Domain/Sub Domain/Directory/File Name  20%
2. Meta Title Tag                                         25 %
3. Meta Description Tag                               15 %
4. H1                                                          10 %
5. Content + Keyword Density                      20 %
6. Bold Keyword +tag                                  10 %

จากข้อมูลที่ทราบ กันดีอยู่แล้ว Blogger นั้นมันไม่ค่อยไต่อันดับ ได้ง่าย เหมือน wordpress   วันนี้แหละที่เราจะได้ทราบวิธีการปรับแต่ง SEO ให้ Blogger แรงแบบทะลุหน้าหนึ่งง่ายๆ ดังนี้

เวลาเราเอาข้อมูลพวกนี้มาใช้ กับ  Blogger เราจะทำอย่างไรกับมัน ถึงจะทำให้ Blogger ของเรา ทะยานจากหน้าท้ายๆ มาสู่ หน้า แรกได้ง่ายแบบไม่ต้องเหนื่อยมากๆ ทำตามนี้เลยครับ ก่อนทำตามผมควรทำการปรับแต่ง ตามกระทู้ของคุณ BB กันก่อนครับ เสร็จแล้วมาเข้าเรื่องในภาค 2 กันเลย

1.  ให้ทำการจดโดเมนเนม ด้วย keyword ที่เราต้องการให้คนค้นหาเว็บไซต์เราเจอ มาผูกติดกับ BLogger เราก็จะได้ Url ของบล็อกเราแบบนี้        hทีทีp://www.โดเมนที่กำหนดเอง.com  สำหรับวิธีการเซตค่าโดเมนให้กับ Blogger ให้ไปหาดูเอาเองที่ Blogger ครับ  วิธีการนี้เป็นการทำให้ เสริชเอนจิน ทราบว่าเว็บเรามีความหมายสื่อถึงอะไร ถ้ามีคนใช้คีย์นี้ค้นหา เสริชเอนจิน ก็จะให้ความสำคัญกับเรามากกว่าเว็บที่ไม่มีคีย์ อยู่ในโดเมน  เลือกเอานะครับว่าจะเกิดในโคลนตม หรือว่า ในปราสาทแก้ว 20% เข้าไปแล้ว

2.  Meta Title Tag     + Meta Description Tag สองอันนี้        40 %  เข้าไปแล้ว แม้ว่าหลายๆคนบอกว่า Google ไม่ให้ความสำคัญ แต่เราต้องใส่ ตามความเหมาะสม

แต่ผมขอเพิ่มบรรทัดนี้  คำอธิบายเว็บไซต์โดยมี keyword ผสมสั้นๆที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของเว็บเรา    วางไว้ บรรทัดแรก ใต้ Head ของ Blogger          

หรือก๊อปไปวางทั้ง 6 บรรทัดใต้

เขียน php ให้สามารถ login เว็บอื่นด้วย cURL

login เว็บอื่นด้วย cURL

The other day I wanted to automate some downloading from a username and password secured website. I wrote a quick script and it is working like a dream, below is the CURL part of the code that does the logging in and download.

$username = 'myuser';
$password = 'mypass';
$loginUrl = 'http://www.example.com/login/';
//init curl
$ch = curl_init();
//Set the URL to work with
curl_setopt($ch, CURLOPT_URL, $loginUrl);
// ENABLE HTTP POST
curl_setopt($ch, CURLOPT_POST, 1);
//Set the post parameters
curl_setopt($ch, CURLOPT_POSTFIELDS, 'user='.$username.'&pass='.$password);
//Handle cookies for the login
curl_setopt($ch, CURLOPT_COOKIEJAR, 'cookie.txt');
//Setting CURLOPT_RETURNTRANSFER variable to 1 will force cURL
//not to print out the results of its query.
//Instead, it will return the results as a string return value
//from curl_exec() instead of the usual true/false.
curl_setopt($ch, CURLOPT_RETURNTRANSFER, 1);
//execute the request (the login)
$store = curl_exec($ch);
//the login is now done and you can continue to get the
//protected content.
//set the URL to the protected file
curl_setopt($ch, CURLOPT_URL, 'http://www.example.com/protected/download.zip');
//execute the request
$content = curl_exec($ch);
//save the data to disk
file_put_contents('~/download.zip', $content);


ตัวอย่างการเขียนโปรแกรม Post  ลง SMF โดยตรง

// post smf posttosmf("หัวข้อ","ข้อความ","username","password","4","http://forum.nonvisual.com/");


function posttosmf($subj, $mess, $user, $password, $board, $domain) { $ch = curl_init(); curl_setopt($ch, CURLOPT_COOKIESESSION, 1); curl_setopt($ch, CURLOPT_COOKIEJAR, dirname(__FILE__).'/cookie.txt'); curl_setopt($ch, CURLOPT_COOKIEFILE, dirname(__FILE__).'/cookie.txt'); curl_setopt($ch, CURLOPT_USERAGENT, "Automatic SMF poster thing"); curl_setopt($ch, CURLOPT_RETURNTRANSFER, 1); curl_setopt($ch, CURLOPT_FOLLOWLOCATION, 1); curl_setopt($ch, CURLOPT_HEADER, 1);

curl_setopt($ch, CURLOPT_POST, 1); curl_setopt($ch, CURLOPT_POSTFIELDS, "user=".$user."&passwrd=".$password); curl_setopt($ch, CURLOPT_URL, "$domain?action=login2"); curl_exec($ch);

curl_setopt($ch, CURLOPT_URL, "$domain?action=post;board=".$board.".0"); $data = curl_exec($ch);

sleep(3); preg_match ( "", $data, $sc); preg_match ( "", $data, $seqnum); curl_setopt($ch, CURLOPT_POST, 1); curl_setopt($ch, CURLOPT_POSTFIELDS, "subject=".urlencode($subj)."&icon=xx&message=".urlencode($mess)."&notify=0&lock=0&goback=1&sticky=0&move=0&attachment%5B%5D=&attachmentPreview=&post=xxxxx&sc=".$sc[1]."&seqnum=4&seqnum=".$seqnum[1]); curl_setopt($ch, CURLOPT_URL, "$domain?action=post2;start=0;board=".$board); curl_exec($ch);

curl_close($ch);}

?>

DIY ดัดแปลงจาก ที่ ชาร์จธรรมดาให้่ชาร์ต Iphone ได้

I-Device (Ipod ,Iphone ,Ipad )จะไม่สามารถ ใช้ที่ชาร์ต 5V ธรรมดาได้ เนื่องจาก มีการตรวจสอบขา PIN1 และ PIN2 

รายการอุปกรณ์
  • 330 ohm 1/4 watt resister
  • 10k ohm 1/4 watt resister
  • 3mm LED (any color)
  • USB type A jack (female)
ดัดแปลงจาก ที่ ชาร์ตธรรมดาให้่ชาร์ต Iphone ได้

ดัดแปลงจาก ที่ ชาร์ตธรรมดาให้่ชาร์ต Iphone ได้

ดัดแปลงจาก ที่ ชาร์ตธรรมดาให้่ชาร์ต Iphone ได้

ทำ USB Charger ง่ายๆ

PIN out  ขาต่างๆ
ก่อนทำเรามาดูขาต่างๆของ USB กันก่อนว่าแต่ละอันทำหน้าที่อะไรบ้าง

PIN out  ขาต่างๆ

 USB Charger 9V to USB อุปกรณ์ประกอบด้วย
1.ขั้วถ่าน 9 V
2.LM7805
3.สายไฟ


ทำ USB Charger ง่ายๆ - วงจร

ทำ USB Charger ง่ายๆ - ประกอบ

ทำ USB Charger ง่ายๆ - สำเร็จ

Add Printer ไม่ได้ขึ้นข้อความ Operation could not be Completed

Add Printer ไม่ได้ขึ้นข้อความ Operation could not be Completed

1.
open regedit (e.g. click Start, key regedit and press Enter)
2. navigate to HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Print\Environments\Windows NT x86\Drivers
   under this key, there will be the keys Version-2 and Version-3 (one or the other of these may be absent – not a problem)
  the sub-keys under these contain the printer driver configuration information
 delete all the sub-keys inside Version-2 and Version-3, but not these keys themselves
 The Microsoft Knowledgebase article at http://support.microsoft.com/default.aspx?scid=kb;en-us;312052 lists some other registry entries to delete, but this is not usually necessary.
3. open a Command Prompt window
4. key the commands
       net stop spooler
       net start spooler
5. open Windows Explorer
6. navigate to %systemroot%\system32\spool\printers\ and delete any files there.  By default, this is where the print spooler stores print files.
7.  navigate to %systemroot%\system32\spool\drivers\w32x86 (%systemroot% is usually Windows, but it might be winnt or something else; this is set when the OS is installed).
8. inside w32x86, there will be folders with the names 2 and 3 (one or more of these may be absent – not a problem)
       delete all of the files and sub-folders in each of the 2 and 3 folders, but not the folders themselves
     inside w32x86, there may be other folders with names starting with “hewlett_packard”, “hphp” or something else; delete these folders also
9. restart the print spooler (see steps 3 and 4 above)
    At this point, the system should be pretty well back to the way it was before any printers were installed.
    Some would suggest restarting Windows at this point, but with Windows 2000 and later, this does not seem to be required.
    If you have a Lexmark printer, these additional steps may be necessary (thanks to Robert Orleth [MSFT] for providing this information).  The Lexmark printer installation process sometimes installs a service that makes the print spooler service dependent on itself.  If there is a problem with Lexmark service or a Lexmark printer driver (or you removed it using the steps above), the print spooler service may not start (see also http://support.microsoft.com/default.aspx?scid=kb;en-us;324757).  The steps below make the print spooler service only dependent on the Remote Procedure Call (RPC) service (RPCSS), which is normal.  The print spooler service dependencies are stored in the registry at
     HKEY_LOCAL_MACINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\Spooler\DependOnService
The sc config command at step 16 resets the value of that entry.
10. Open a Command Prompt window
11. key the command
       sc config spooler depend= RPCSS
    (note the space after the = but not before)
12. restart the print spooler (see steps 3 and 4 above)

ความหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก

ความหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก

สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ)แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่
ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่าเด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไปอันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลักเมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมาตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่นเด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 11001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัวเมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี
ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่าเด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไปแล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้านและเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า
ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527)หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทยมาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 0124529 9
ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้าโดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัวก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่นส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานพอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 100101245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้วจะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยน แปลง
การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชนที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อน เลย ดังนั้นช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้วทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4ประเภท คือ
ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆเช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้วแต่บังเอิญว่าตอนที่มีการ สำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริงหรือจะเป็นเพราะกรณี อื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคล ประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือกลายเป็น 5 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทยเพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขากลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยแม้บางคนจะถือพาสปอร์ต ประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติเพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12
ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทยคนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133
ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็น สัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8เช่น 8 1018 01234 247
*—*
ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึงรหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลขซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่าคุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึงอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คืออำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น
สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับหรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร(ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้และจะ ไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น
หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภทเป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรใน กลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ
หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12หลักแรกอีกที

ขอ ขวด (ฃ) และ คอ คน (ฅ) อยู่ตรงไหนบนแป้นพิมพ์

ขอ ขวด (ฃ) และ คอ คน (ฅ) อยู่ตรงไหนบนแป้นพิมพ์


ฃ และ ฅ เป็นตัวอักษรที่ไม่ค่อยได้ใช้งานแล้วสำหรับตำแหน่งนั้น ขึ้นกับ Keyboard เป็นหลักครับว่าจะจัดวางไว้ตรงไหน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ปุ่ม \
โดย ฃ จะอยู่ล่าง ส่วน ฅ ต้องกด Shift

 รศ. ดร. คุณหญิงสุริยา รัตนกุล ผู้เขียนหนังสือ ฃ, ฅ หายไปไหน ?
ได้ศึกษา ความเป็นมาของพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ และชี้ให้เห็นว่า หากเริ่มนับตั้งแต่ที่พบ ฃ, ฅ ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยเป็นครั้งแรก จนถึงการประกาศเลิกใช้ ฃ, ฅ ในปทานุกรม พ.ศ. 2470 และพจนานุกรม พ.ศ. 2493 เป็นเกณฑ์ พยัญชนะทั้งสองมีที่ใช้อยู่ในภาษาไทย นานถึง 700 ปี หากแต่อัตราการใช้และความแม่นยำที่ใช้แตกต่างกันไปตามยุคสมัย เดิม ฃ, ฅ เป็นพยัญชนะแทนเสียง ซึ่งเคยใช้กันมาแต่เดิม (ซึ่งแตกต่างจากเสียง ข และ ค) แต่เสียงนี้ได้หายไปในระยะหลัง เป็นเหตุให้พยัญชนะทั้งสองตัวหมดความสำคัญลงในภาษาไทยปัจจุบัน
เมื่อครั้งที่มีการประดิษฐ์พิมพ์ดีดภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี 2434 ผู้ประดิษฐ์ ได้ตัดตัว ฃ, ฅ ทิ้งไปด้วยเหตุว่า พื้นที่บนแป้นพิมพ์ดีดไม่เพียงพอ และยังให้เหตุผลว่า เป็นพยัญชนะที่ “ไม่ค่อยได้ใช้ และสามารถทดแทนด้วย ตัวพยัญชนะอื่นได้” นี่อาจเป็นครั้งแรกที่พยัญชนะ ฃ, ฅ ถูก “ตัดทิ้ง” อย่างเป็นทางการ ส่วนครั้งต่อ ๆ มาก็คือ การประกาศงดใช้ ฃ, ฅ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อครั้งปรับปรุงภาษาไทยให้เจริญก้าวหน้าในยุครัฐนิยม รวมถึงการประกาศ เลิกใช้ในปทานุกรม และพจนานุกรม ดังกล่าวแล้ว
มีข้อน่าสังเกตว่า แต่ก่อนพยัญชนะ ฅ ไม่ได้ใช้ในคำว่า คน เลย (ฅ ใช้ในคำ ฅอ ฅอเสื้อ เป็นอาทิ)  ความสับสนในเรื่องนี้ คงเกิดมาจาก ก ไก่ คำกลอน ผลงานของ ครูย้วน ทันนิเทศ (ในหนังสือ แบบเรียนไว เล่มหนึ่ง ตอนต้น, พ.ศ. ๒๔๗๓) ที่แต่งว่า “ฅ ฅนโสภา”