tag:blogger.com,1999:blog-20065238277601154742024-03-20T03:10:08.130-07:00nonvisual.comบันทึกหลากหลายเรื่องราวไว้กันลืมArtemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.comBlogger51125tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-55707979576213644712022-07-20T19:50:00.001-07:002022-07-21T19:45:35.566-07:00พันธุ์อะโวคาโด<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/a/AVvXsEhb5dWEm9YW4u3kKgHnDvzkQneJheGl1qa4kKRPqOyoKnlPU_lUjMeovP2ieQA2ANung22Thvuzkfl7NW5RZ_gYM4GV1XhOQMAKbROZdVtxakOuN3ZGkRQVK9s_HnI5f_LDRS7jHp3fhHe_jQ4zPObd2myJQwijTrbgCWvvI2usVO1lHDKjkVwReCQG"><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/a/AVvXsEhb5dWEm9YW4u3kKgHnDvzkQneJheGl1qa4kKRPqOyoKnlPU_lUjMeovP2ieQA2ANung22Thvuzkfl7NW5RZ_gYM4GV1XhOQMAKbROZdVtxakOuN3ZGkRQVK9s_HnI5f_LDRS7jHp3fhHe_jQ4zPObd2myJQwijTrbgCWvvI2usVO1lHDKjkVwReCQG=w638-h600" /></a><br /><br /><br /><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6b/1/16/1f333.png" />พันธุ์อะโวคาโด<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6b/1/16/1f333.png" /><br />พันธุ์อะโวคาโดที่รสชาติดีนั้น เป็นพันธุ์ที่มี เปอร์เซ็นต์ไขมันค่อนข้างสูง ถึงสูง โดยพันธุ์ แฮส (Hass) มีไขมัน ประมาณ 18-25% เฟอร์เต้ (Fuerte) มีน้ำมัน 14-18% และพันธุ์ บัคคาเนีย มีน้ำมัน 12-14% ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวจะมีผลต่อปริมาณไขมันมาก โดยผลอะโวคาโดที่อายุมากขึ้นจะสะสมไขมันมากขึ้นตามลำดับ<div><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />พันธุ์แฮส (Hass)<br />ใบแหลมเรียว ใบออกห่าง ๆ กัน ผลรูปแพร์ ผิวขรุขระมาก ผิวสีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ ผลมีขนาดเล็กน้ำหนักประมาณ 200-300 กรัม เนื้อสีเหลือง เมล็ดเล็กถึงขนาดกลาง เปลือกผลค่อนข้างหนา ทนทานต่อการขนส่ง พันธุ์นี้ยังมีข้อดีอีกประการคือ เมื่อผลแก่แล้ว ก็ยังสามารถเลี้ยงอยู่บนต้นได้อีกนานหลายเดือน ช่วงเก็บเกี่ยวผลเดือนธันวาคม –กุมภาพันธ์ มีไขมันสูงมาก คือ ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า เป็นพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก พันธุ์นี้ผลมีราคาแพงมากที่สุด แต่ให้ผลดีในที่อากาศเย็น พื้นที่ปลูกที่เหมาะสมควรสูงจากระดับน้ำทะเล 600 เมตรขึ้นไป ระยะปลูกที่แนะนำคือ 8×8 เมตร</div><div><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />บูช 7 (Booth-7)<br />ใบใหญ่เป็นมัน ผลค่อนข้างกลมป้าน ขนาดประมาณ 3 ผลต่อกิโลกรัม ผิวผลค่อนข้างขรุขระ สีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน เมล็ดขนาดกลาง เมื่อสุกผลมักจะตกกระ มีไขมัน 7-14 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณวันที่ ตุลาคม ถึง ธันวาคม อายุ 5 ปี 249 ผลต่อต้น พันธุ์นี้ให้ผลผลิตดก ลำต้นขนาดใหญ่ ค่อนข้างทนต่อโรค แต่ผลรสชาติปานกลาง</div><div><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />ปีเตอร์สัน (Peterson)<br />เป็นพันธุ์เบา ให้ผลผลิตก่อนพันธุ์อื่น ๆ คือประมาณเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม ลักษณะผลกลม ใบเรียงซ้อนกันถี่ ๆ และเป็นมัน ใบอ่อนสีแดง ผลมีลักษณะกลม</div><div><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />เฟอร์เต้ (Fuerte) <br />ลำต้นขนาดใหญ่ และแผ่กว้าง ผลรูปแพร์ ผิวขรุขระเล็กน้อย ผิวสีเขียวเข้ม เนื้อสีเหลืองครีม เมล็ดขนาดกลาง น้ำหนักผลประมาณ 150-300 กรัม รสชาติดีมาก แต่ค่อนข้างอ่อนแอต่อโรค เปลือกผลบางทำให้ไม่ทนทานต่อการขนส่ง ชอบอากาศเย็น แต่ไม่หนาว อากาศร้อนหรือหนาวเกินไปจะทำให้การออกดอกน้อยและไม่สม่ำเสมอ เป็นพันธุ์กลุ่ม B ควรปลูกพันธุ์กลุ่ม A ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มการติดผล ช่วงเก็บเกี่ยวผลเดือนตุลาคม – ธันวาคม เป็นพันธุ์การค้าของโลก รอง ๆ จากพันธุ์ แฮส</div><div> <br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />บัคคาเนีย (Buccaneer)<br />ผลมนรี ผลมีขนาดใหญ่ ถึง 3-4 ผลต่อกิโลกรัม ใบกว้างผิวใบไม่มัน ยอดเขียว ผลแก่จะเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง ผลดก ดูแลง่าย ขนาดต้นใหญ่และแผ่กว้าง ระยะปลูกที่แนะนำคือ 10×10 เมตร</div><div><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />พิงค์เคอร์ตัน (Pinkerton)<br />ขนาดต้นค่อนข้างเล็ก ใบเรียวยาว และจะสั้นกว่าพันธุ์ Hass ผลผิวขรุขระ ผลแก่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวเข้ม รสขาติมัน เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง ใกล้เคียงพันธุ์ Hass แต่มีข้อดีคือ ผลใหญ่กว่าแฮส และเมล็ดมีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักผลประมาณ 3 ผลต่อกิโลกรัม ผลดก สามารถปลูกในพื้นที่สูงน้อยกว่าพันธุ์ Hass คือประมาณ 300-400 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และขนาดต้นที่เล็ก ทำให้จำนวนต้นที่ปลูกต่อไร่มีมากกว่า พันธ์ุนี้มีข้อด้อยกว่าพันธุ์แฮส ตรงที่ผลแก่ไม่สามารถเลี้ยงอยู่บนต้นได้นานเท่าแฮส ทำให้ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวค่อนข้างสั้น</div><div> <br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />A.034 (A034) อะโวคาโดชนิดนี้ มีถิ่นเกิดหรือถิ่นกำเนิด จากประเทศเวียดนาม โดยเกิดจากการผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ระหว่างอะโวคาโดสายพันธุ์ชื่อ HASS กับอะโวคาโดสายพันธุ์ชื่อ RUSSELL , ผลมีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักเฉลี่ยระหว่างครึ่งกิโลกรัมต่อผล รูปทรงของผลแปลกกว่าผลอะโวคาโดทั่วไปคือ “ผลยาว” ดูเหมือนกับผลแตงกวาญี่ปุ่น ผิวผลขรุขระเล็กน้อย รสชาติเนื้อในหวานมันคล้ายเนื้อของอะโวคาโดพันธุ์ HASS แต่จะให้ความรู้สึกถึงความมันที่เข้มข้นกว่าอโวคาโดพันธุ์ HASS มากกว่าด้วย นอกจากต้นจะเตี้ยแล้วยังมีดอกและติดผลได้เร็วมากคือ หลังปลูกประมาณ 2–3 ปีเท่านั้น ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม แต่อะโวคาโดพันธุ์นี้สามารถให้ผลได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะนอกฤดูช่วงเดือน กพ-เมษา จะเริ่มมีผลนอกฤดูออกมา</div><div><br /></div><div><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />TA21 (TA21) อะโวคาโดชนิดนี้ มีถิ่นเกิดหรือถิ่นกำเนิด จากประเทศเวียดนาม <br /><br /><br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6a/1/16/1f530.png" />การสังเกตและเก็บเกี่ยวผลอะโวคาโด<br />โดยธรรมชาติแล้วอะโวคาโด จะไม่สุกบนต้น แต่จะสุกหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลออกจากต้นแล้ว ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งหมายความว่า หลังจากเก็บผลจากต้นแล้ว เราต้องทิ้ง หรือบ่ม อะโวคาโดไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 สัปดาห์ก่อนนำมารับประทาน <br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6a/1/16/1f530.png" />การเก็บ ผลอะโวคาโด ที่อ่อนเกินไป นอกจากจะมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันน้อยแล้ว ยังทำให้ ไม่สามารถบ่มอะโวคาโดให้สุกได้ คือผลอาจจะเน่าไปเลยโดยที่ยังไม่สุก ดังนั้นเกษตรกรควรมีหลักในการสังเกตุเพื่อเก็บผลผลิตที่แก่เพียงพอ นอกจากนี้ เรายังสามารถ ทิ้งผลอะโวคาโด ที่แก่ ให้อยู่บนต้นได้อีกระยะหนึ่ง หากเก็บไม่ทัน หรือต้องการรอเวลา แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับแต่ละสายพันธุ์ด้วย <br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6a/1/16/1f530.png" />การเก็บผลต้องให้ขั้วผลติดกับผลด้วย เพราะหากขั้วผลหลุดจากผล จะทำให้ผลเสียหายง่ายขณะบ่มให้สุก วิธีหนึ่งในการตรวจสอบว่าผลอะโวคาโด พร้อมเก็บเกี่ยวหรือไม่ ให้เก็บผลจากจุดต่าง ๆของต้น มา 6-8 ผล จากนั้น ผ่าผลเพื่อดูเยื่อหุ้มเมล็ด หากเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด แสดงว่าผลแก่พร้อมเก็บเกี่ยวได้ ทั้งนี้ต้องระวังด้วยว่า อะโวคาโด อาจมีการออกดอก 2 ชุด ทำให้ผลในต้นเดียวกัน แก่ไม่เท่ากัน ควรตรวจสอบจากลักษณะผลภายนอกด้วย ตามข้อมูลในตารางด้านล้างนี้<br /><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6b/1/16/1f333.png" />สายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว อายุผล <br /> </div><div><br /></div><div><table id="one-column-emphasis-3" style="background-color: #fcfcfc; border-bottom-color: rgb(237, 237, 237); border-bottom-style: solid; border-collapse: collapse; border-image: initial; border-left-color: initial; border-left-style: initial; border-right-color: initial; border-right-style: initial; border-spacing: 0px; border-top-color: initial; border-top-style: initial; border-width: 0px 0px 1px; color: #7a7a7a; font-family: Roboto, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 2; margin: 0px 0px 20px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline; width: 749.891px;"><tbody style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สายพันธุ์</em></td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว</em></td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อายุผล (วัน)*</em></td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-align: center; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ลักษณะผล</em></td></tr><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">1. ปีเตอร์สัน (Peterson)</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มิถุนายน – กรกฎาคม</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">160</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลที่แก่และขั้วผลเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียวปนเหลือง เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 22.2%</td></tr><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">2. บูช-7 (Booth 7)</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กลางกันยายน – ตุลาคม</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">170</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลที่แก่จะมีนวลที่ผิวผล สีผิวผลเป็นสีเขียว เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 14.8%</td></tr><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">3. บูช-8 (Booth 8)</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กันยายน – ตุลาคม</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">177</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลที่แก่จะมีนวลที่ผิวผล สีผิวผลเป็นสีเขียว เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 16.5%</td></tr><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">4. บัคคาเนีย (Buccaneer)</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กลางกันยายน – กลางตุลาคม</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">180 – 187</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลที่แก่จะมีนวลที่ผิวผล สีของผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 17.0%</td></tr><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">5. พิงค์เคอตัน (Pinkerton)</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ตุลาคม – ธันวาคม</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">309</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลที่แก่ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวเข้ม มีน้ำหนักแห้ง 30.0%</td></tr><tr style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">6. แฮส (Hass)</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">242 – 250</td><td style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลที่แก่ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มเป็นสีม่วงปนเขียว มีน้ำหนักแห้ง 24.7-29.0%</td></tr></tbody></table><p style="background-color: #fcfcfc; border: 0px; box-sizing: border-box; color: #7a7a7a; font-family: Roboto, sans-serif; font-size: 13px; margin: 1em 0px; outline: 0px; overflow-wrap: break-word; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หมายเหตุ * อายุผลหลังจากดอกบาน 50 เปอร์เซ็นต์ของช่อดอก</p><ul style="background-color: #fcfcfc; border: 0px; box-sizing: border-box; color: #7a7a7a; font-family: Roboto, sans-serif; font-size: 13px; list-style: square; margin: 0px 0px 1.5em 3em; outline: 0px; overflow-wrap: break-word; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><li style="border: 0px; box-sizing: border-box; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px 0px 0px 1.5em; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ข้อมูลจากเวปไซต์ โครงการหลวง</li></ul><img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" />วิธีการบ่มอะโวคาโดให้สุก<img src="https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t2d/1/16/1f951.png" /><br />เมื่อเราเก็บ อะโวคาโด จากต้นแล้ว จำเป็นต้องมีการบ่มเพื่อให้สุก ก่อนรับประทาน การบ่มนั้นทำได้ง่ายๆ โดยการทิ้งผลไว้ที่อุณหภูมิห้อง แต่หากต้องการเร่งให้ผลสุกเร็วขึ้น ให้ใส่ผลอะโวคาโดในถุงกระดาษสีน้ำตาล แล้วปิดปากถุง หากไม่มีก็ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ระยะเวลาอาจเพียงแค่ 1 คืน หรือหลายวัน ขึ้นกับอะโวคาโดแต่ละผล การทดสอบว่าผลสุกหรือยัง ให้ลองเอามือบีบผลเบา ๆ ถ้าผลบีบได้ ก็แสดงวาสุก หรืออีกวิธีให้กดบริเวณขั้วผลเบา ๆ ถ้ากดได้แสดงว่าสุก<br />หากผลสุกแล้วให้นำผลอะโวคาโด แช่ตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ไม่ควรนำผลดิบที่ยังไม่สุกแช่ตู้เย็นเพราะอาจทำให้ผลไม่สุกแล้วเน่าไปเลยก็ได้</div>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-23435144505364519632021-01-06T22:19:00.003-08:002021-01-06T22:19:22.656-08:00 12 สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงสุขภาพ<b><u>12 สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงสุขภาพ</u></b><br /><br />ตามไปซื้ออาหาร – สมุนไพรจีน มาทำเมนูอร่อยกัน<div><br /><div><br /><span style="color: red;">เม็ดเก๋ากี้</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุเป็นกลาง บำรุงเลือด ไต และสายตา ช่วยให้ผมดำและบำรุงผิวพรรณ ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ใช้บำบัดผู้ที่ตับไตอ่อนแอ หญิงที่มีประจำเดือนผิดปกติ โลหิตจาง ตามัว และแก่ก่อนวัย<br />วิธีปรุง ชงน้ำดื่มแทนน้ำชา หรือ ใส่ลงในน้ำซุป ตุ๋น ใช้ครั้งละ 5-30 กรัม<br />ผู้ไม่ควรบริโภค เป็นหวัด ตัวร้อน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ม้ามอ่อนแอ อุจจาระเหลว</div><div><br /><span style="color: red;">ห่วยซัว</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุเป็นกลาง ช่วยถอนพิษและบรรเทาอาการบวม มักใช้บำบัดอาการม้ามพร่อง ถ่ายอุจจาระเหลว ไอและมีเสมหะเนื่องจากโรคปอด บำรุงไต และใช้ได้ผลมากกับอาการอันเกิดจากโรคเบาหวาน เช่น กระหายน้ำ ซูบผอม หากเด็กมีอาการนอนไม่หลับเบื่ออาหารก็ให้รับประทานได้<br />วิธีปรุง<br />1. ห่วยซัวรสอร่อยไม่เลี่ยน ใส่ในซุปกินเป็นประจำจะช่วยบำรุงอวัยวะทั้งห้า<br />2.ห่วยซัว 100 กรัม บดเป็นผง ใส่เหล้าจีน 1 ช้อนโต๊ะ นำไปต้มในหม้อจนมีกลิ่นหอม ใส่เหล้าอีก 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน ดื่มตอนท้องว่าง<br />ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้ที่เป็นวัณโรคเกิดจากปัจจัยภายในพร่อง</div><div><br /><span style="color: red;">อึ่งคี้หรือปั๊กคี้</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุอุ่นเล็กน้อย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือดลม ขับปัสสาวะและเสริมภูมิต้านทานโรค จึงใช้บำบัดอาการอ่อนล้า เหมาะสำหรับใช้เป็นยาบำรุงสำหรับคนชราและผู้มีร่างกายอ่อนแอ เพราะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำในร่างกาย และลดความดันโลหิต<br />วิธีปรุง<br />1.ใส่ผสมในน้ำซุปปลาหลีฮื้อน้ำแดงหรือซุปหอยนางรมอึ่งคี้ 2.ใส่ข้าวต้ม 3.ชงน้ำดื่มเป็นน้ำชา<br />2.อึ่งคี้ 20 กรัม พุทราจีน 10 ลูก ต้มน้ำดื่มวันละ 1 ชุด โดยต้มได้สองครั้ง ช่วยบำบัดอาการอ่อนล้า เป็นหวัดง่าย<br />ผู้ไม่ควรบริโภค มีอาการไอ เสมหะมาก มีไข้สูง แน่นท้อง ลิ้นมีฝ้าขุ่นหนา</div><div><br /><span style="color: red;">ซัวเซียม</span><br />รสชาติและสรรพคุณ ประกอบด้วยแห้ง น้ำมันหอมระเหย อัลคาลอยด์ ช่วยบำรุงปอด แก้ไอขับเสมหะ ใช้บำบัดอาการไอเรื้อรัง เสมหะเป็นฟอง ซูบผอม ซึมเซา เสมหะมีเลือดปน<br />วิธีปรุง เป็นส่วนประกอบในอาหารประเภทตุ๋น และข้าวต้ม</div><div><br /><span style="color: red;">เง็กเต็ก</span><br />รสชาติและสรรพคุณ ประกอบด้วยอัลคาลอยด์ กรดนิโคติน วิตามินเอ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงอวัยวะภายใน บำรุงหัวใจ<br />วิธีปรุง เป็นส่วนประกอบในอาหารประเภทตุ๋น และข้าวต้ม<br />ข้อควรระวัง กินเพียงเล็กน้อยจะช่วยให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่ถ้ากินมากเกินไปอาจมีผลร้ายได้</div><div><br /><span style="color: red;">ลูกเคียมซิก</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวานอมฝาด มีธาตุเป็นกลาง สรรพคุณที่เด่นที่สุดคือ การบำรุงม้ามและขับน้ำในร่างกาย ระงับอาการน้ำอสุจิหลั่งเร็ว บำรุงม้าม แก้ท้องเดิน มักใช้บำบัดโรคหนองใน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่<br />วิธีปรุง<br /> 1.ลูกเคียมซิกและแป๊ะฮะอย่างละ 60 กรัม ห่วยซัว 100 กรัม ต้มเป็นโจ๊กกิน ช่วยบำบัดอาการท้องเดินเรื้อรัง<br />2.ลูกเคียมซิก 30 กรัม เม็ดบัว 15 กรัม ต้มกับน้ำและปรุงรสด้วยน้ำตาลกินวันละ 2 ครั้ง ใช้บำบัดอาการตกขาว และน้ำอสุจิเคลื่อนบ่อย<br />3. ใช้เคียมซิกต้มเป็นซุปดื่ม แก้ปวดศีรษะ ปวดประสาท ปวดเมื่อยตามข้อกระดูก<br />ผู้ไม่ควรบริโภค เคียมซิกมีฤทธิ์ลดเหงื่อแรงมาก ผู้มีอาการปัสสาวะขัดและท้องผูกเป็นประจำไม่ควรกิน</div><div><br /><span style="color: red;">แป๊ะฮะ</span><br />รสชาติและสรรพคุณ แป๊ะฮะขาวถือว่าดีที่สุด รสหวานอมขม มีธาตุเป็นกลาง ชุ่มปอด แก้ไอ ทำให้จิตใจสงบ มักใช้กับผู้ป่วยวัณโรค และแก้อาการนอนไม่หลับได้ผลดี<br />วิธีปรุง<br />1.นำแป๊ะฮะสด 200 กรัม ผสมน้ำผึ้ง ½ ถ้วย นึ่งให้นิ่ม อมจะช่วยให้ชุ่มคอ<br />2.แป๊ะฮะและลูกพุทราเปรี้ยวอย่างละ 50 กรัม ต้มน้ำดื่ม บำบัดอาการนอนไม่หลับ<br />ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้ที่ม้ามและกระเพาะพร่อง-เย็น ไม่ควรกิน</div><div><br /><span style="color: red;">ตังกุย</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวานอมเผ็ด มีธาตุอุ่น บำรุงเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียน แก้ปวดประจำเดือน หล่อลื่นลำไส้ ระบายท้อง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายเหลืองซูบ ประจำเดือนขาด และแก้อาการบวมได้อีกด้วย<br />วิธีปรุง<br />1.ตังกุย 9 กรัม อึ่งคี้ 30 กรัมต้มน้ำดื่ม ต้มได้ 2 ครั้ง บำบัดโรคโลหิตจาง<br />2.ทำซุปน้ำข้นใส่ปลาไหล<br />ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้มีอาการปอดพร่อง ร้อนใน หรือเพิ่งหายจากการอาเจียนมีเลือดปนไม่ควรกิน และการกินตังกุยเป็นประจำจะทำให้มีอาการเจ็บคอและจมูกร้อนได้</div><div><br /><span style="color: red;">โตวต๋ง</span><br />รสชาติและสรรพคุณ ส่วนเปลือกของต้นโตวต๋ง มีเจลาตินสีขาว ประกอบด้วยยางไม้สีขาว ไขมัน กรดอินทรีย์ รสหวาน มีธาตุอุ่น บำรุงตับ ไต กระดูก และเส้นเอ็น ลดความดันโลหิต บำรุงครรภ์ ป้องกันการแท้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ตับอ่อนแอ ปวดเมื่อยเอว<br />วิธีปรุง<br />1.ต้มกับเนื้อเพื่อบำรุงร่างกาย<br />2.โตวต๋ง 150 กรัม แช่ในเหล้าขาว 500 ซีซี เป็นเวลาครึ่งเดือน ดื่มครั้งละ 30 ซีซี วันละ 2 ครั้งบรรเทาอาการไตพร่องและหูอื้อ<br />ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้ที่เลือดแห้งและร้อนใน ห้ามกิน</div><div><br /><span style="color: red;">ตั้งเซียม</span><br />รสชาติและสรรพคุณ มีสรรพคุณคล้ายโสมจีน รสหวาน มีธาตุเป็นกลาง บำรุงพลังและม้าม ชุ่มปอด เพิ่มน้ำในร่างกาย ใจสั่น หายใจไม่เต็มปอด และท้องเดิน<br />วิธีปรุง ตั้งเซียม 20 กรัมพุทราจีน 10 ลูก ต้มน้ำจนสุก ใส่น้ำตาลพอประมาณ ดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย</div><div><br /><span style="color: red;">พุทราจีน</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุอุ่น บำรุงม้าม ปรับกระเพาะอาหารให้สู่สภาวะสมดุล เสริมพลัง เพิ่มน้ำ บำรุงเลือด ลดไขมัน และต้านมะเร็ง มักใช้บำบัดอาการเบื่ออาหารเนื่องจากกระเพาะพร่อง หัวใจเต้นไม่ปกติ โรคไขมันในเลือดสูง และโรคตับ<br />วิธีปรุง<br />1.พุทราจีน 10-20 ลูก ตั้งเซียม 10 กรัม ต้มกินทั้งซุปและพุทราจีน บำบัดม้ามและกระเพาะพร่อง<br />2.พุทราจีน 10 ลูก รากผักขึ้นฉ่ายสด 10 ต้น ล้างให้สะอาดต้มเป็นซุป ลดคอเลสเตอรอล</div><div><br /><span style="color: red;">เหง้าบัว</span><br />รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุเย็นจัด เหง้าบัวสุกใช้บำรุงม้าม ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงโลหิต เสริมสร้างกล้ามเนื้อ แก้อาการท้องเดิน<br />วิธีปรุง น้ำเหง้าบัวคั้น 1 ถ้วย กับน้ำสาลี่คั้น 1 ถ้วยผสมเข้าด้วยกันดื่มรักษาอาการไอ มีเสมหะข้น<br /><br />อาหารและ สมุนไพรจีน ทั้ง 12 ชนิดนี้เป็นเพียงส่วนเสี้ยวจากชั้นอาหารและสมุนไพรจีนที่มีอีกกว่า 1,000 ชนิด ซึ่งทำให้นึกถึงความชาญฉลาดของชาวจีนโบราณที่เข้าใจธรรมชาติของร่างกายและสิ่งแวดล้อม จนคิดสูตรอาหารและเครื่องยาที่ใช้ทั้งบำรุงร่างกายและบำบัดโรคให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์กันเรื่อยมา<br /><br />กินอาหารได้ยาบำรุงร่างกายได้อย่างไร<br />ตามประวัติอันยาวนานกว่า 3,000 ปีของอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ชาวจีนเชื่อว่า “ยารักษาโรคและอาหารมีที่มาจากแหล่งเดียว ไม่มีเส้นแบ่งขอบเขตที่แน่นอนระหว่างยากับอาหาร” จากหนังสืออาหารเครื่องยาจีน ของ สำนักพิมพ์รีดเดอร์ ไดเจสท์ กล่าวถึงคำพูดของ นายแพทย์ซุนซือเหมี่ยวว่า “อาหารสามารถขจัดปัจจัยภายนอกช่วยปรับสภาพอวัยวะภายใน ทำให้จิตใจสงบ มีอารมณ์ดีและช่วยบำรุงพลังเลือด ผู้ที่สามารถใช้อาหารบำบัดโรคและบรรเทาอาการต่างๆ ถือว่าเป็นผู้มีความรู้อันประเสริฐ ดังนั้นในฐานะที่เป็นแพทย์ จึงต้องเข้าใจสมุฏฐานของโรค แล้วรักษาด้วยอาหาร ถ้าไม่ได้ผลจึงรักษาด้วยยา”<br /><br />ซึ่งการใช้อาหารบำบัดโรคหมายถึง การอาศัยสารอาหารชนิดพิเศษที่มีอยู่ในอาหารมาประกอบกับวิธีการปรุงที่เหมาะสม เพื่อบำบัดโรค ซึ่งมีหลักการหลายประการ เช่น<br /><br />ทฤษฏีหยิน-หยาง<br /> คุณมานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย เป็นผู้อธิบายให้เราฟังดังนี้ค่ะ “ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องดำรงหยิน-หยางให้คงไว้ในสภาวะสมดุล ร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ โครงกระดูก เส้นผม เล็บ ซึ่งเป็นหยิน ส่วนหยางคือพลังงานของชีวิต ภายใต้สภาพปกติหยินหยางจะมีสภาวะสมดุลในลักษณะที่ตรงกันข้าม ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังในร่างกายไปทั่วทุกจุด ถ้าปริมาณหรือลักษณะของตัวใดตัวหนึ่งเหลื่อมล้ำเกินไป ร่างกายจะผิดปกติ เช่นเมื่อใดที่หยางในร่างกายน้อย ทำให้การหมุนเวียนเลือดไม่ดี หน้าซีด ตัวเย็น แต่ถ้าหยางมากเกินไป จะทำให้ร้อนใน ผิวพรรณแห้ง อวัยวะภายในเป็นผังพืด หยิน หยาง ไม่สมดุลจุดไหน อวัยวะนั้นจะเกิดการอุดตันและเกิดโรคต่างๆ ตามมา” เมื่อพิจารณาจากอาการของโรคแล้ว เราสามารถจำแนกลักษณะโรคหยินและหยางได้ดังนี้<br /><br />โรคหยาง เป็นโรคชนิดเฉียบพลัน มีลักษณะเดินหน้าและเพิ่มขึ้น มักปรากฏเป็นอาการไข้สูง จิตใจกระสับกระส่าย กระหายน้ำ ชอบกินของเย็น ท้องผูก ขัดเบา เป็นต้น<br /><br /> โรคหยิน เป็นโรคชนิดเรื้อรัง มีลักษณะถอยหลังและลดลง มักปรากฏเป็นอาการเย็นง่าย หนาวง่าย เซื่องซึม ไม่มีเรี่ยวแรง กินอาหารน้อยลง ท้องเดิน อุจจาระเหลว มือเท้าเย็น เป็นต้น<br /><br />อาจารย์มานพยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า “สำหรับอาหารและเครื่องยาจีนแต่ละชนิดมีฤทธิ์เป็นหยินหยางอยู่แล้ว การกินให้ถูกหลักจึงสามารถช่วยปรับสมดุลของร่างกายได้” นอกจากนี้แพทย์แผนโบราณยังมีความรู้เรื่องอาหารว่ามีสรรพคุณและบำรุงร่างกายได้โดยการแบ่งย่อย ประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่ และรสทั้งห้า รวมถึงปฎิกริยาขึ้น ลง ลอย จมของร่างกาย<br /><br />การจำแนกตามธาตุอาหาร แพทย์จีนจำแนกธาตุอาหารหลากหลาย มีสรรพคุณแตกต่างกันดังนี้<br /><br />อาหารที่มีธาตุเย็นและเย็นจัด ช่วยขับร้อน ถอนพิษ เช่น ข้าวเดือย แห้ว บวบ มะระ<br />อาหารที่มีธาตุร้อนและอุ่น ช่วยขจัดเย็น บำรุงส่วนที่พร่องของร่างกาย เช่น ขิงสด น้ำตาล ผักชี<br />อาหารที่มีธาตุเป็นกลาง ช่วยบำรุงม้าม ทำให้เจริญอาหาร เช่น ข้าวเหนียว ถั่วเหลือง น้ำมันงา<br />และแบ่งแยกเป็นรสทั้งห้า มีสรรพคุณแตกต่างกันและมีการแยกเป็นหยิน-หยาง<br /><br />รสทั้งห้าของอาหาร<br />รสเผ็ด เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยระบาย ช่วยให้พลังเดิน ทำให้โลหิตไหลเวียน แก้ไข้ ปวดกระเพาะ ปวดรอบเดือน อาหารรสนี้ได้แก่ ขิง กระเทียม ฮวยเจีย กุ้ยพวย กานพลู<br />รสหวาน (รวมรสจืด) เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยปรับโจงชี่ให้สมดุล มักใช้บำบัดม้ามและกระเพาะอ่อนแอ อาหารไม่ย่อย สตรีร่างกายอ่อนแอหลังคลอด ปวดตามกระดูกและเอว อาหารรสหวานได้แก่ พุทราจีน ลำไย<br />รสเปรี้ยว(รวมรสฝาด) เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยหยุดการหลั่งของเหลวและเพิ่มน้ำในร่างกาย มักใช้บำบัดอาการเหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ ปัสสาวะบ่อย ม้ามพร่อง สตรีตกขาว ร้อนใน อาหารรสเปรี้ยวได้แก่ ลูกเคียมซิก เม็ดบัว ลูกบ๊วย<br />รสขม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยขับร้อน สลายชื้น ปรับสภาวะพลังย้อนกลับ มักใช้บำบัดอาการหวัดแดด เป็นไข้ ตามัว ดีซ่าน อาหารรสขมได้แก่ เก๋ากี้ ผักขม มะระ<br />รสเค็ม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยระบาย และขับของเหลวในร่างกาย บำรุงไต และเลือด มักใช้บำบัดอาการท้องผูก ฝี ตัวบวม ไตพร่อง ขาดเลือด อาหารรสเค็มนี้ได้แก่ สาหร่าย ปลิงทะเล<br /><br /><br />เหล่านี้คือความรู้ตามหลักโภชนาการของชาวจีน ซึ่งสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ค่ะ<br /><br /><br /><br />ข้อมูลเรื่อง ” 12 สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงสุขภาพ” จากนิตยสารชีวจิต</div></div>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-73688037638810467122020-07-30T21:11:00.001-07:002020-07-30T21:18:18.105-07:00ชิงเฮา จิงจูฉ่าย โกฐจุฬาลัมภา <div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><div dir="auto">ทั้งหมด เป็นวงศ์ Artemisia </div>- จิงจูฉ่าย Artemisia lactiflora ( White mugwort ) </div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;">- ชิงเฮา Artemisia annua</div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;">- โกฐจุฬาลัมภาจีน (อ้ายเย่) Artemisia argue ( Mugwort) </div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;">- โกฐจุฬาลัมภา (ไทย) Artemisia vulgaris </div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;">- โกฐจุฬาลัมภาอินเดีย ( Dhavanam ) Artemisia pallens : ใช้ทำน้ำมันหอมทาตัว </div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><br /></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0IPY3cAd4PcKtAEwtn96J73xakWfQGYAEVm2fk9MSXMe-KeNesOxeSB8xN1A0IUBcAXUMB7QLgGX9l5lvLWEhZeY01Xk36LQyBlgURUaQDViGhI_Ux2jLF6vONWxj6roVudt2ykIMEJM/s500/_editor20180420095944_original.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="500" data-original-width="500" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0IPY3cAd4PcKtAEwtn96J73xakWfQGYAEVm2fk9MSXMe-KeNesOxeSB8xN1A0IUBcAXUMB7QLgGX9l5lvLWEhZeY01Xk36LQyBlgURUaQDViGhI_Ux2jLF6vONWxj6roVudt2ykIMEJM/s320/_editor20180420095944_original.jpg" /></a></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><br /></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;"><b><u>จิงจูฉ่าย </u></b></span><br style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; white-space: normal;" /><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;">ฝั่งอเมริกาเอง ปลูกจิงจูฉ่าย แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในแง่สมุนไพร ปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะดอกที่สวยงามของจิงจูฉ่ายนั่นเอง บางพื้นที่ มีการนำใบจิงจูฉ่ายมาประกอบอาหารแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่า Celery หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง</span><br style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; white-space: normal;" /><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;">ความที่จิงจูฉ่าย จัดอยู่ในยาเย็น มีความเป็นหยิน จึงมักนำมาใส่ในซุป เพื่อปรับสมดุลรับประทานในหน้าหนาว</span><br style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; white-space: normal;" /><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;">ในใบสดๆ มีสารที่เป็น bitter absinthin ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ</span><br style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; white-space: normal;" /><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;">มีสาร artemisinin ที่สามารถนำมาสกัดเป็นยาต้านมาเลเรีย (พบในใบพี่น้องอีกชนิดของจิงจูฉ่าย คือชิงฮาว ) และมีสารสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ</span><br style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; white-space: normal;" /><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;">จิงจูฉ่ายยังมีปริมาณวิตามินซีมากกว่าในมะนาวถึง 58 เท่า มีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต กากใยอาหาร เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินบี 6 เป็นต้น (มีมากในใบสด มากกว่าผ่านความร้อนแล้ว)</span></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;"><br /></span></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;"><br /></span></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBfrz9D_JRPMBoHSauLxWDm6AUHj3jbEil2H7YJaWz0luLrm0qf59pBEgQc3x3M3z5aQe6yqQHICbScsC1raOS-dJaF0k7tc0x_ig8Jt-5ojZtXw_bbg5OQ8ET0SNCR3frbhnrtQtuWrs/s570/20140054_773054079521969_6352866844237920730_n.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="456" data-original-width="570" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBfrz9D_JRPMBoHSauLxWDm6AUHj3jbEil2H7YJaWz0luLrm0qf59pBEgQc3x3M3z5aQe6yqQHICbScsC1raOS-dJaF0k7tc0x_ig8Jt-5ojZtXw_bbg5OQ8ET0SNCR3frbhnrtQtuWrs/w400-h320/20140054_773054079521969_6352866844237920730_n.jpg" width="400" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKWxrYKfJZrKrW286DpH0yRjlf76xIoGf6iVlw_ncoNfezt4VBpQ0soey1oGYvbabQWcHJ4jz06UEVcA4_DJgx5RnEZBa8QfVY3jCDiLrFOz4unXNSPa6Xpx1mj06d2tYwOAk2cxSNE20/s570/20245405_773053959521981_385257962763272610_n.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="380" data-original-width="570" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKWxrYKfJZrKrW286DpH0yRjlf76xIoGf6iVlw_ncoNfezt4VBpQ0soey1oGYvbabQWcHJ4jz06UEVcA4_DJgx5RnEZBa8QfVY3jCDiLrFOz4unXNSPa6Xpx1mj06d2tYwOAk2cxSNE20/w400-h266/20245405_773053959521981_385257962763272610_n.jpg" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;"><br /></span></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><div class="kvgmc6g5 cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;"><b><u>ชิงเฮา</u></b> / 青蒿 / Sweet wormwood ( Artemisia annua L ) </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;"><br /></div></div><div class="o9v6fnle cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0.5em 0px 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ชิงเฮา ( พี่ๆน้องๆ ของโกฐจุฬาลัมภาจีน โกฐจุฬาลัมภาไทย และจิงจูฉ่าย) เป็นไม้ล้มลุก อายุสั้น แตกกิ่งมาก ทั้งต้นมีกลิ่นแรง มีขนขึ้นประปราย หลุดร่วงได้ง่าย ใบแฉกรูปคล้ายขนนก ต้นจะมีกลิ่นน้ำมันหอมค่อนข้างแรง </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมมาจากจีน แต่กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป ภาคเหนือของทวีปแอฟริกา และในทวีปเอเชีย ในประเทศจีนนั้นมักขึ้นทั่วไปตามเนินเขา ตามข้างทาง </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ในไทย เอาพันธุ์จากเวียดนามมาปลูก พบว่าขึ้นได้ดีที่ทางภาคเหนือของเรา แต่พบว่าตัวยาสำคัญคือ อาร์ติมิซินินลดลง น้อยกว่าต้นดั้งเดิมจากเวียดนาม แพทย์แผนจีนจะใช้ส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นนำมาใช้ทำยา</div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">แพทย์จีนใช้ชิงเฮารักษาไข้ ไข้มีเสมหะ และใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร </div></div><div class="o9v6fnle cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0.5em 0px 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ปีคศ. 1967 ช่วงสงครามที่เวียดนามเหนือ-ใต้ มีมาเลเรียระบาด และดื้อต่อยาต้านมาเลเรียควินิน ได้ขอความช่วยเหลือมาทางจีน </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ดร. ถู โยวโยว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของบัณฑิตยสภาจีนทางด้านการแพทย์จีนโบราณที่สำเร็จศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง (Beijing Medical University) ได้รับการส่งตัวเข้าร่วมโครงการ 523 ซึ่งเป็นโครงการในยุคสมัยของโจวเอินไหล ผู้นำคอมมิวนิสต์คนสำคัญ ได้รวมกับเหมาเจ๋อตุงตั้งโครงการนี้คิดค้นหายากันอย่างลับๆ ดร.ถู โยวโยว ขณะอายุ 37 ปี ต้องพลัดจากครอบครัว ไปอยู่ไหหนานเพื่อร่วมโครงการนี้ มีการรวบรวมยาโบราณมากกว่า 2 แสนตำรับในการวิจัย </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ทีมงานค้นพบว่า สมัย คศ. 400 มีการบันทึกการใช้ชิงเฮารักษามาเลเรีย ได้พยายามที่จะสกัดสารอาร์ติมิซินิน (Artemisinin) ออกมาจากสมุนไพรชิงเฮา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในที่สุด ดร. ถู โยวโยว กลับไปศึกษายาแบบละเอียด และทดลองจนได้วิธีสกัดสารตัวนี้ ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลการทดลอง ดร.ถู โยวโยว จึงใช้ตัวเองเป็นหนูทดลอง ในการทดสอบยาจนสำเร็จ และมีการนำยาไปใช้กับคน และแรงงานในสงคราม</div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ในปี 1977 ได้มีการตีพิมพ์งานของ ดร. ถู โยวโยว และในปี 1981 ได้เสนอรายงานการวิจัยกับองค์การอนามัยโลก เธอต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย มีคนพยายามจะกดดัน และต่อต้านงานวิจัยชิ้นนี้ ในที่สุด ผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ ดร. ถู โยวโยว ได้รับรางวัล Lasker-DeBakey Clinical Medical Research Award ในปี 2011 (นับเป็นผู้หญิงชาวเอเซียคนแรก ที่ได้รับรางวัลงานวิจัยด้านการแพทย์จากสถาบันนี้) และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีระศาสตร์และการแพทย์ ปี 2015 </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ปัจจุบัน ดร.ถู โยวโยว อายุ 86 ปี ยังคงทำงานด้านวิจัย และเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง </div></div><div class="o9v6fnle cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0.5em 0px 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ยาที่สกัดจากชิงเฮานั้น มีประสิทธิภาพดีในการรักษามาเลเรียชนิดฟัลซิปารุ่ม และไวแวกซ์ เป็นที่ยอมรับจากองค์การอนามัยโลก</div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">นอกจากนี้ ในชิงเฮายังมีสารกลุ่มฟลาวานอยด์ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ สารต้านเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;"><br /></div></div></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;"><br /></span></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjrlQEtKSppyt-85l4x82jxo0QJbgX7jTSwyFz3j9_vdmK0wh49j1dAqeCE1mgEgbHrPG2jOAh8WgsMDoADnRMhNthnW9IVduFmQMge8HHliymcMm0c6UrgwB7VHiWVKNGy9p2jbs0HzTs/s529/20191112113940738.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="358" data-original-width="529" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjrlQEtKSppyt-85l4x82jxo0QJbgX7jTSwyFz3j9_vdmK0wh49j1dAqeCE1mgEgbHrPG2jOAh8WgsMDoADnRMhNthnW9IVduFmQMge8HHliymcMm0c6UrgwB7VHiWVKNGy9p2jbs0HzTs/s320/20191112113940738.jpg" width="320" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhkbElhuwHCYXlc67IaCaRyhFm7YtSuv1CwOyIeTSGRyl1FksMqmUGXpcCDJq6wjjnjdDp4PpB3Xv2p8Vg7d6UON3tWAZAa2SHq7zDcr615B52cF-0I30HOTw6AYUZGeKgTi3_zMsqR_E/s1024/Aiye_huaxue2-768x1024.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1024" data-original-width="768" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhkbElhuwHCYXlc67IaCaRyhFm7YtSuv1CwOyIeTSGRyl1FksMqmUGXpcCDJq6wjjnjdDp4PpB3Xv2p8Vg7d6UON3tWAZAa2SHq7zDcr615B52cF-0I30HOTw6AYUZGeKgTi3_zMsqR_E/w300-h400/Aiye_huaxue2-768x1024.jpg" width="300" /></a></div><span style="font-family: "Segoe UI Historic", "Segoe UI", Helvetica, Arial, sans-serif; white-space: normal;"><br /></span></div><div dir="auto" style="background-color: white; color: #050505; font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; font-size: 15px; white-space: pre-wrap;"><div class="o9v6fnle cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0.5em 0px 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;"><b><u>โกฐจุฬาลัมพาจีน </u></b>( Artemisia argyi ) ที่รู้จักกันในชื่อว่า อ้ายเย่ ( 艾叶,อ่านแบบพินอินว่า ài yè ) หรือ Mugwort เป็นพืชในวงศ์ทานตะวัน ซึ่งคล้ายคลึงกับพืชในวงศ์เดียวกันและมักเกิดความสับสนอย่าง โกฐจุฬาลัมพาไทย (Artemisia pallens, Artemisia vulgaris) และชิงฮาว (Artemisia annua) </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">เราจะใช้ใบและเรือนยอดที่ตากแห้ง นำมายีให้นุ่ม หรือบดผง คุณสมบัติของอ้ายเย่ คือจะช่วยคลายการอุดตัน กำจัดความเย็น ความชื้นออกจากเส้นลมปราณ กลิ่นของโกฐจุฬาลัมภา สามารถผ่านเส้นลมปราณ ควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิด จะไม่สูงมาก และค่อยๆส่งผ่านความร้อนเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อ </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ในปัจุจบัน มีการนำมาทำเป็นแท่งสำเร็จ คล้ายธูปสีดำ ขนาดประมาณใหญ่กว่าดินสอเล็กน้อย เพื่อความสะดวกในการใช้ และเพื่อปรับใช้กับเทคนิคการรมยาแบบต่างๆได้ </div></div><div class="o9v6fnle cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0.5em 0px 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ในปี 2005 เมื่อเกิดไข้หวัดนกระบาดในประเทศจีน กระทวงสาธารณสุขจีนได้กำหนดแผนการตรวจรักษาโรคไข้หวัดนกโดยในส่วนของการป้องกันได้กำหนดให้ป้องกันเช่นเดียวกับการระบาดของไข้หวัดอื่นๆ และการใช้โกฐจุลาลัมจีนพาในการฆ่าเชื้อนั้นเป็นวิธีที่สะดวก ราคาถูก และให้ผลที่ดี ในปี 2009 มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ซานเซียงตูซื่อเป้า(三湘都市报)ของจีนว่าการจุดโกฐจุฬาลัมพาจีนสามารถฆ่าเชื้อมือเท้าปากได้อีกด้วย และยังมีงานวิจัยว่าควันจากการรมยาด้วยโกฐจุลาลัมพาจีนสามารถฆ่าเชื้อและหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ S. aureus, Group B Streptococcus, E.coli และ Candida albicans นอกจากนี้ยังสามารถฆ่าเชื้อคอตีบ ไข้ไทฟอยด์ บิดไม่มีตัว เป็นต้น (อ้างอิงจาก แพทย์จีนสุดสัปดาห์ 2015 )</div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">ในตำราดั้งเดิม มีการวางก้อนโกฐจุฬาลัมภาจีนที่ปั้นเป็นก้อนเล็กๆบนผิวโดยตรงแล้วจุดไฟ วิธีนี้ จะทิ้งแผลพองมีน้ำ ในหลายๆประเทศยังมีการทำแต่วิธีนี้ไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าผิดกฎหมายในอเมริกา </div></div><div class="o9v6fnle cxmmr5t8 oygrvhab hcukyx3x c1et5uql ii04i59q" style="font-family: "segoe ui historic", "segoe ui", helvetica, arial, sans-serif; margin: 0.5em 0px 0px; overflow-wrap: break-word;"><div dir="auto" style="font-family: inherit;">สรรพคุณของการรมยามีดังนี้ </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">1. อบอุ่นเส้นลมปราณ ขจัดความชื้น </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">2. ให้เส้นเลือดและลมปราณไหลเวียนดีขึ้น</div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">3. เสริมพลังหยาง โดยเฉพาะคนที่มีอาการมือเย็น เท้าเย็นง่าย ขี้หนาว บางครั้งมีถ่ายเหลวร่วมด้วย </div><div dir="auto" style="font-family: inherit;">4. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน โดยใช้แท่งม็อกซ่า หรือโกฐจุฬาลัมภาสำเร็จรูป จุดไฟแล้วรมบริเวณหน้าท้อง และจุดสะดือ</div></div></div>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-44878533800593530762019-09-26T00:21:00.000-07:002019-11-04T17:16:14.340-08:00ท่าออกกำลังกาย_แก้ปวดหลัง_แก้ปวดเอว<br /><br /><br /><br /><br />วิธีออกกำลังแบบ ゴロゴロ体操 โดยแพทย์ Takashi Kurihara จากรายการ TBS "The Best Doctor's Taikoban"! ,ว่ากันว่ากล้ามเนื้อบริเวณรอบเอวแข็งตัวจะทำให้อาการปวดหลังเกิดขึ้น การใช้ท่าออกกำลัง ゴロゴロ体操 จะไปขยายการเคลื่อนไหวของข้อต่อสะโพกทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อต่สะโพกคลายตัว สามารถป้องกันและแก้ไขอาการปวดหลัง <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />1. เอามีทั้งสองข้างจับไปที่ข้อเท้า<div class="separator" style="clear: both;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhseK0Ewv02XEwoDUU9xvnFTmYSFGp3TnMlc0S9kd_LxCg8aWqTddjeR-dPBtClU3nNo0tJasIhujHgtIowet5T-xCZBFojZaugg_pCZf96QXPzMNxXkTCdl-x0P1Ws_Jc1Hd0gVDgv5iQ/s1600/001.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1100" data-original-width="1100" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhseK0Ewv02XEwoDUU9xvnFTmYSFGp3TnMlc0S9kd_LxCg8aWqTddjeR-dPBtClU3nNo0tJasIhujHgtIowet5T-xCZBFojZaugg_pCZf96QXPzMNxXkTCdl-x0P1Ws_Jc1Hd0gVDgv5iQ/s400/001.png" width="400" /></a></div>
<br /><br /><br /><br /><br />2. โยกตามแนวลูกศร ขึ้น ลง 10 ครั้ง <div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAqsuaWAw9K-QI-Ciy4Qkh22nkZ4q5ZBbLn6GHfj_YiQX1l46QlhcHr9X0jg3_CxL-V2ZlroYbk7NPc1nW9V-L1QyIowuid7LjbQGe8crS85wQoOYmjpmBXT25jXv3s-5nX5w6C1YtlgU/s1600/002.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="300" data-original-width="300" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAqsuaWAw9K-QI-Ciy4Qkh22nkZ4q5ZBbLn6GHfj_YiQX1l46QlhcHr9X0jg3_CxL-V2ZlroYbk7NPc1nW9V-L1QyIowuid7LjbQGe8crS85wQoOYmjpmBXT25jXv3s-5nX5w6C1YtlgU/s400/002.png" width="400" /></a></div>
<br /><br /><br /><br /><br />3. โยกตามแนวลูกศร ซ้าย ขวา 10 ครั้ง <div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpyPUyRb_hNeBWthFCaFSjPVicgMUSKMILV_-S5Ee-ib9vUiiLPfp6Wa-HlfSGu4u0FG2oA2iQB5zbH9ftpfW3pdn4tDq-6t02cwtHQh26YZzsIiLT4-vrGbXnAdkjv6YepIwjkuh7f2w/s1600/003.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="300" data-original-width="300" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpyPUyRb_hNeBWthFCaFSjPVicgMUSKMILV_-S5Ee-ib9vUiiLPfp6Wa-HlfSGu4u0FG2oA2iQB5zbH9ftpfW3pdn4tDq-6t02cwtHQh26YZzsIiLT4-vrGbXnAdkjv6YepIwjkuh7f2w/s400/003.png" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />จาก https://xn-n8jub8830ajv3b.com/archives/10961Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-23460860412616091682019-02-19T17:38:00.001-08:002019-02-19T17:56:21.215-08:00ความเชื่อและความหมายของหินชนิดต่างๆ<b><span style="color: red;">AGATE</span></b><br />
อาเกต เรียกอีกอย่างว่า หินโมรา เป็นหินที่มีหลายสี ที่นิยมคือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือ ฟ้าในเนื้อหิน เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตั้งแต่โบราณ ชาวอียิปซ์ ถือว่าช่วยป้องกันภยันตรายให้เจ้าของ และเป็นตัวแทนทรัพย์สิน เพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย ช่วยทำให้จิตใจเยือกเย็น สงบ ถ้านำมากำไว้จะช่วยชะล้างอารมณ์รุนแรง เร่าร้อน คลายอารมณ์เคร่งเครียด แล้วนำหินไปล้างเพื่อชำระล้างทิ้งไป นอกจากนั้น ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย ถ้านำมาวางไว้บนหัวเตียง เชื่อว่าสามารถช่วยเสริมสมรรถภาพพลังทางเพศได้อีกด้วย<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>AMAZONITE</b></span><br />
แอมะซอไนต์ คือ แร่ไมโครไคลน์ชนิดหนึ่ง ที่มีสีเขียว หรือฟ้าอมเขียว เป็นแร่ในกลุ่มเฟลด์สปาร์ บางครั้งใช้เป็นรัตนชาติ (มีความหมายเหมือนกับแอมะซอนสโตน : amazonstone) คำว่า แอมะซอไนต์ มาจากชื่อของแม่น้ำแอมะซอน(แม่น้ำอะเมซอน) ในทวีปอเมริกาใต้นั่นเอง เพราะมีการพบแร่ดังกล่าวจากหินสีเขียวบางชนิด แต่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเฟลด์สปาร์สีเขียวนั้นปรากฏในแถวลุ่มน้ำอะเมซอนหรือไม่ สามารถพบในประเทศมาดากัสการ์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา<br />
ความเชื่อเกี่ยวกับแอมะซอไนต์ เป็นหินที่ช่วยให้กล้าแสดงออก ทางศิลปะ ดีสำหรับลำคอและเส้นประสาททั้งหลาย<br />
<br />
<b><span style="color: red;">AMETHYST</span></b><br />
อเมทิสต์ เป็นหินที่มีสีม่วง อ่อนจนถึงเข้ม เรียกอีกอย่างว่า พลอยม่วงดอกตะแบก มีพลังในการบำบัดสูง ก่อให้เกิดความยุติธรรมขึ้นในใจ ขจัดความคิดทางลบ สยบอารมณ์โกรธหรือร้าย ขจัดความเครียด เป็นหินที่โดดเด่นในเรื่องการบำบัด รักษาเกี่ยวกับสุขภาพ โรคเลือด โรคนอนไม่หลับ ขจัดความเครียด ช่วยให้อารมณ์ที่โมโหอยู่ผ่อนคลายลง และยังเด่นในเรื่องการเสริมฮวงจุ้ยที่ดีให้กับบ้าน ช่วยให้คนในบ้านสมัครสมานสามัคคีกันมากขึ้น<br />
ด้านการบำบัด : ช่วยในคนที่มีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ ควรนำอเมทิสต์มาวางไว้ตรงหน้าผาก และทำสมาธิสักพัก อาการดังกล่าวก็จะดีขึ้นตามลำดับ หรือสามารถนำมาวางไว้ใต้หมอน รักษาโรคนอนไม่หลับ ช่วยฟอกเลืิอดสร้างเม็ดเลือดได้ โดยสามารถนำมาล้างน้ำสะอาด แช่น้ำ้สักครู่ จึงนำน้ำนั้นมาดื่ม เพื่อบำบัดอาการป่วยดังกล่าว<br />
<br />
<b><span style="color: red;">AMETRINE</span></b><br />
อเมทริน เป็นหินที่มีสีม่วงอมเหลือง เป็นหินที่ช่วยปรับสมดุล การโน้มนาว ปรับตัวเข้าหากัน ขจัดความขัดแย้ง ปรับสมดุลของจิตใจผู้อยู่รอบข้าง เสริมความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง เหมาะกับคนที่พักฟื้นจากการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ จะทำงานร่วมกับจิตใจ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแรง<br />
<br />
<b><span style="color: red;">APATITE</span></b><br />
อพาไทต์ เป็นหินที่รวมแร่ธาตุหลากหลายชนิดเข้าไว้ด้วยกัน บางครั้งจะดูคล้ายฟลูออไรท์ และเพทายฟ้า พบมากจะเป็นสีเขียวปนฟ้า หินชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมจิตใจให้เข้าสู่ความสงบ ช่วยให้เกิดความไม่ประมาท เหมาะกับคนที่ไม่ยอมรับความจริงในด้านลบ พลังหินจะนำมา หรือชี้ช่องทางให้ได้ว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน จึงจะสงบดีงามที่สุด<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>AQUAMARINE</b></span><br />
อความารีน (Aquamarine symbol of Happiness and Everlasting Youth) เป็นหินตระกูลเบอริล (Beryl) โดยทั่วไปจะมีความหมายถึงความอ่อนวัย ความเป็นหนุ่มสาว และความหวัง เป็นสัญลักษณ์ของความสุข มีความหนุ่มเป็นสาวที่เป็นอมตะ ช่วยบําบัดร่างกาย จิตใจ ลดความโกรธ จิตใจสงบ เพิ่มพูนความฉลาด ทําให้การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นดีขึ้น ลดความกลัว ปรับปรุงความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้ายืนหยัดในสถานภาพที่เป็นอยู่อย่างไม่หวั่นไหว อความารีนช่วยลดอาการเครียด ทําให้จิตใจสงบ สติปัญญาเฉียบแหลม มีจิตใจละเอียดอ่อน มีความคิดสร้างสรรค์ กล้ารับผิดชอบในการกระทําของตนเอง ปกป้องคุ้มครองยามเดินทางไกล โดยเฉพาะทางน้ำ และใช้ในการสื่อสารกับจิตใต้สำนึก จะช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง หรือพกติดตัวเวลาต้องพบปะคนแปลกหน้า จะช่วยให้ไม่ประหม่า แถมยังเชื่อฟังในสิ่งที่คุณพูดอีกด้วย ทั้งนี้ อความารีนเป็นหินประจำเดือนเกิดมีนาคม<br />
ความเชื่อ : คนโบราณเชื่อว่าจะส่งพลังดีๆ ช่วยปกป้องคุ้มครองในยามเดืนทาง และนำความอุดมสมบูรณ์ซึ่งยิ่งใหญ่ดั่งท้องทะเลมาให้ ทั้งยังนำพาให้จิตใจสดชื่น อ่อนโยนและความมีเสน่ห์มาสู่ผู้เป็นเจ้าของ <br />
ด้านการบำบัด : ช่วยบรรเทาอาการเมาคลื่น ลดอุบัติภัย บำบัดอาการทางระบบประสาท ความดันโลหิตสูง นำมากำไว้ในมือจะช่วยให้สดชื่นคลายความกังวลได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
<b><span style="color: red;">AZURITE</span></b><br />
อะซูไรต์ หินที่มีสีน้ำเงินเข้ม เกิดจากแร่โคบอลต์ซึ่งเป็นรูปผลึกแบบระบบโมโนคลีนิก (MONOCLINIC) มักจะพบในรูปเป็นแท่งหรือเป็นรูปผลึกปริซึม (PRISMATIC CRYSTALS) ผลึกของอะซูไรต์จึงมักจะซับซ้อนและสามารถเปลี่ยนรูปไปจากเดิมได้ โดยอาจจะมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมบ้าง เกาะกันเป็นกลุ่มเนื้อแบบเป็นเส้นบ้าง กระจายแบบรัศมีบ้าง<br />
คำว่า อะซูไรต์ นั้นมาจากภาษาอาหรับที่หมายถึง “BLUE” อันหมายถึงสีน้ำเงิน ดังนั้นสีของอะซูไรท์จึงมีสีน้ำเงินเข้มจนถึงสีฟ้าอ่อนเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของมัน มีค่าความแข็งตามมาตรวัดของโมห์ (MOH’S SCALE) อยู่ที่ 3.5 – 4.0 คือ สามารถเอาอะซูไรต์ไปขูดแร่ยิปซั่มให้ยิปซั่มเกิดรอยได้ แต่ถ้านำแก้วมาขูด อะซูไรต์ก็จะเกิดรอย ดังนั้นในอิยิปต์สมัยโบราณเขามักจะนำอะซูไรท์มาบดเป็นผงเพื่อทำสีทางตาบ้าง นำมาย้อมผ้าบ้างและนำมาใช้ในการเขียนภาพบ้างก็มี<br />
ด้านความเชื่อ : ในตำนานของชาวเผ่าเชโรกีและนักรบอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ เชื่อกันว่า หินอะซูไรท์นี้จะมีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูง แล้วเชื่ออีกว่าเป็นหินที่มีพลังวิเศษอันเกี่ยวเนื่องกับวิญญาณและการขอพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ตนนั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง จนสามารถมีชัยชนะเหนือคู่แข่งทั้งปวงได้ ยิ่งมีสีน้ำเงินเข้มเท่าไรก็จะมีพลังมากขึ้นเท่านั้น โดยชาวเผ่าเชโรกีเชื่อกันว่าถ้านำหินอะซูไรต์มาวางไว้บนหน้าผากในขณะที่ทำสมาธิจิตแล้ว อะซูไรท์จะช่วยกระตุ้นพลังความคิดอันสร้างสรรค์ จะทำให้สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณเบื้องสูงได้ และสามารถถ่ายทอดพลังการคุ้มครองของอะซูไรท์เข้าสู่ร่างกายได้ ในทางโหราศาสตร์แล้วถือว่าอะซูไรต์นั้นเป็นอุปมณีชนิดหนึ่งของดาวเสาร์ ซึ่งจะอำนวยให้เกิดความแข็งแกร่งเหนืออุปสรรคทั้งปวง ทำให้เป็นผู้นำที่กล้าแกร่งมั่นคง ทำให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง สามารถทำลายมายาที่ปิดกั้นการรับรู้ที่แท้จริงได้<br />
ด้านการบำบัด : เชื่อกันว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและเส้นเอ็น สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สามารถป้องกันเส้นโลหิตในสมองแตกได้ บรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดเส้นประสาท บำบัดโรคที่เกี่ยวกับการอุดตันของลำไส้ บำบัดพิษร้ายจากสัตว์และแมลง โรคผิวหนังพุพองติดเชื้อ<br />
<br />
<b><span style="color: red;">BERYL </span></b><br />
แบริล ช่วยเสริมพลังด้านความคิด ความรู้ ความฉลาดปราดเปรื่อง มีความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความมุ่งมั่น และมองโลกในแง่ดีอีกด้วย<br />
<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>BLUE LACE AGATE</b></span><br />
บลู เลซ อาเกต มีสีฟ้าอมเทา มีลาย ขาว ช่วยปรับอารมณ์ให้สงบ ช่วยให้มั่นใจในการแสดงออก และการพูดต่อหน้าสาธารณชน ทำให้มีความอดทน เมตตากรุณา ซื่อสัตย์<br />
ลดอาการทางประสาท ทำให้ใจเย็นช่วย รักษาสุขภาพลำคอ<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">CARNELIAN</span></b><br />
คาร์เนเลียน เป็นหินที่มีหลายสี สีชมพู ส้มแดง น้ำตาล แดง สีส้มแกมใส เป็นสีพื้นฐานของหินชนิดนี้ คาร์เนเลี่ยนของอินเดีย จะสวยงามมาก เมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ สีจะเปลี่ยนไปตามระดับ ตั้งแต่น้ำตาลไปจนถึงสีแดง แต่เดิมคำว่า คาร์เนเลียน เป็นสัญลักษณ์ของความสดใหม่ และเนื้อสัตว์ ช่วยปลุกพลังภายในร่างกายให้ตื่นขึ้นมาทำสิ่งต่าง ๆ เหมาะกับคนที่สับสนขาด ความเชื่อมัน ให้มีพลังผลักดันให้เกิดความสุข กล้าเปิดเผยความรักที่อยู่ในใจให้อีกฝ่ายรู้ บำบัดอาการอิจฉาริษยาทั้งในตัวเองและคนอยู่รอบข้าง ถ้านำมาไว้ใต้สะดือ จะช่วยเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เบื่ออาหาร ระบบขับถ่ายได้<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">CHERRY QUARTZ</span></b><br />
เชอร์รี่ควอตซ์ เป็นหินนำโชคด้านความรัก ความเมตตา นำมาซึ่งความหวัง ลดความเครียด <br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">CHRYSOCOLLA</span></b><br />
คริสโซคอลลา มีคุณสมบัติในการคืนพลังความชุ่มชื้น หรือพลังชีวิตให้กับผู้เป็นเจ้าของ บางคนอาจหมดหวังหรือสิ้นหวังเสียใจ หากได้กำหินชนิดนี้ไว้สักพัก พลังของหินจะปลอบโยนจิตใจ ทำให้ความคิดด้านลบหมดไป อารมณ์แจ่มใสมากขึ้น ในขณะเดียวกัน หินชนิดนี้จะเสริมความมั่นคงก้าวหน้า เสริมบารมี และทำให้มีคนรักคุณไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">CHRYSOPRASE</span></b><br />
คริสโซเพลส เป็นหินในตระกูลคาลซิโดนี ช่วยเสริมความงามสง่า หากสวมใส่ติดตัวบ่อยครั้งจะช่วยให้เพศตรงข้ามมองเห็นความงามของคุณ ลึกซึ้งจากภายใน และมีคุณสมบัติในการบำบัดทั้งอารมณ์ จิตใจให้ดีขึ้น นอกจากนี้ เหมาะที่จะใช้ในการบำบัดสถานที่ในที่ทำงาน หรือบ้านที่มีแต่ผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกัน ควรนำหินชนิดนี้มาวางไว้ให้ผู้คนทั่วไปได้เห็นทั่วกัน เพื่อที่หินจะส่งคลื่นพลังทำให้ผู้คนเหล่านั้นมีจิตใจสงบลงเข้าใจกันมากขึ้น<br />
<br />
<i><span style="color: red;">FLUORITE</span></i><br />
ฟลูออไรต์ มีหลากหลายสี แต่สีที่พบเห็นมาก คือชนิดที่มีสีเขียว และสีม่วง มีลักษณะสีปนกันเป็นชั้นๆ เป็นหินที่มีพลังของสัญชาตญาณ ที่ทำให้เกิดภาพนิมิต มีความเชื่อว่าหินชนิดนี้สามารถพัฒนาจิต พัฒนาการหยั่งรู้ และช่วยในเรื่องการทำสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ มั่นคง ปรับสมดุลของความคิดทั้งด้านบวก และลบให้ดีขึ้น<br />
ด้านการบำบัด : ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดการปวดหลัง ปวดเอว หากมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของกระดูกในร่างกาย ให้นำหินชนิดนี้มาวางไว้บริเวณนั้น นอนลงพักผ่อนสักระยะ จะช่วยให้ดีขึ้น หรือต้องการให้การสื่อสารกับผู้คนซึ่งอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายให้ง่ายขึ้นก็ควรนำมากำไว้ในมือ<br />
<br />
<br />
G<b><span style="color: red;">OLD STONE / SAND STONE / SILVER SANDSTONE</span></b><br />
ทรายทอง, ทรายเงิน "หินแห่งความร่ำรวย" ภายในมีเกล็ดทรายสีเงินระยิบระยับสวยงาม เชื่อว่าช่วยเรียกโชคลาภ เงินทอง เป็นตัวแทนแห่งความเจริญรุ่งเรือง เป็นหินที่เกี่ยวพันธ์ต่ออารมณ์และจิตใจใช้ได้ดีสำหรับเพิ่มพลังงานบวก ต่ออายุ สร้างความแข็งแรง ส่งต่อพลังงาน สามารถสร้างและรักษาระดับสมดุลพลังงาน<br />
ด้านการบำบัดรักษา :<br />
-เป็นหินที่ปกป้องส่วนกลางของร่างกาย<br />
-เป็นหินที่กระตุ้นการทำงานของอวัยวะในร่างกายคุณ<br />
-เป็นหินที่ปรับและรักษาความสมดุลพลังงานร่างกาย<br />
-เป็นหินที่สามารถปรับให้คุณเป็นหนุ่มเป็นสาว<br />
-เป็นหินที่สามารถสร้างอารมณ์อันดี<br />
-เป็นหินที่ให้อายุยืนยาว และสร้างความแข็งแรง<br />
-เป็นหินที่สามารถช่วยลดความตึงเครียดภายในช่องท้อง<br />
<br />
<b><span style="color: red;">GREEN AVENTURINE</span></b><br />
กรีน อะเวนเจอรีน เหมาะกับคนที่ทำงานด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เสริมให้เกิดความกล้างแสดงออก หรือที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง และยังเหมาะกับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเจรจาการค้า ยิ่งถ้าเป็นนักขายควรพกพาหินชนิดนี้ไว้ จะกระตุ้นให้กล้าพูด กล้าเปิดและปิดการขาย หรือหากเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่วุ่นวายสับสน แนะนำให้กำหินไว้ขณะเกิดความรู้สึกตึงเครียด หินชนิดนี้จะช่วยชำระล้างอารมณ์ที่ขุ่นมัวให้ใสสะอาด และบำบัดให้สุขภาพดี<br />
<br />
<b><span style="color: red;">HEMATITE</span></b><br />
เฮมาไทต์ เป็นหินแร่ออกไซด์ชนิดหนึ่ง สีดำแวววาวลักษณะคล้ายเหล็กไหล เนื้อแร่มีความวาวมีลักษณะเดียวกันกับโลหะ เมื่อแสงกระทบถูกจะเกิดประกายแวววาวสีรุ้ง เนื้อแร่ทึบแสงหากนำมาบดจะได้ผงสีแดง<br />
เฮมาไทต์ มาจากคำภาษากรีก ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันเลือดออก และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หินเลือด” เมื่อเปรียบเฮมาไทต์เหมือนดอกไม้นั้น เฮมาไทต์จะถูกเรียกว่า “กุหลาบเหล็ก” ชนพื้นเมืองอเมริกันใช้แร่เฮมาไทต์ เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันในการต่อสู้ ประชาชนในศตวรรษที่18-19 จะสวมเครื่องประดับแร่เฮมาไทต์ระหว่างการไว้ทุกข์ เสริมมงคล ปกป้องคุ้มครองภยันตราย ป้องกันพิษทุกชนิด ป้องกันคุณไสย บำรุงสายตา บรรเทาอาการเจ็บป่วย<br />
ความเชื่อ : ในเมืองไทย เฮมาไทต์ มีคนเชื่อกันว่าเป็นแร่ตระกูลเหล็กไหลชนิดหนึ่ง เป็นเหล็กไหลน้ำรอง บางทีก็เรียกกันว่า ‘เพชรดำ’ เป็นหินที่มีชื่อเสียงด้านให้พละกำลัง ซึ่งมันจะมีธาตุเหล็กจับกับธาตุหลายชนิด ใช้เป็นเครื่องประดับเครื่องราง มีดีทางป้องกันอันตราย มีพลังอยู่ในตัวมากนำมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะทำน้ำมนต์รักษาโรค เสริมออร่าตนเอง ช่วยสมาธิภาวนา ปกป้องคุ้มครองภยันตราย ป้องกันพิษทุกชนิด ป้องกันคุณไสย ฯลฯ นอกจากนั้นแร่เฮมาไทต์ยังเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเพิ่มความสามารถ ใช้ในการปรับปรุงความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น พกเฮมาไทต์ไว้กับตัวคุณตลอดเวลา เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง<br />
ด้านการบำบัด : แร่เฮมาไทต์จะช่วยกระตุ้นการดูดซึมธาตุเหล็กในลำไส้ขนาดเล็กซึ่งจะช่วยเพิ่มออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ใช้บำรุงสายตา บรรเทาอาการเจ็บป่วย<br />
<br />
<i><span style="color: red;">HOWLITE</span></i><br />
โฮไลต์ มีสีขาวขุ่น มีลายเส้นสีเทาไม่เป็นระเบียบ ช่วยให้หลับลึก จดจำความฝันได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับ คลายความโกรธ และความเจ็บปวดทางกาย ดีมากสำหรับกระดูก ช่วยปรับระดับแคลเซียมในกระดูกให้สมดุล<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">JADE</span></b><br />
หยก ดึงดูดความมั่งคั่ง เสริมความเจริญก้าวหน้า ปกป้องคุ้มครอง โดยเฉพาะทารก และคนชรา มีพลังในการปลุกปลอบจิตใจสูง สร้างสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้อายุยืน สีที่แตกต่าง จะช่วยบำบัดต่างด้านกัน เช่น<br />
หยกสีเหลือง: ช่วยบำบัดอาการฝันร้าย<br />
หยกสีขาว: ช่วยให้จิตใจสงบ<br />
หยกสีเขียว: ช่วยบำบัดรักษาโรค<br />
แต่พลังโดยรวมของหยกทุกสีจะเสริมสิริมงคลได้ในทุกเรื่อง ที่แนะนำไว้ข้างต้น ตามตำนานของจีนเชื่อว่า หยกมีคุณสมบัติในการบำบัดผู้ป่วยที่เจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ โรคไต โรคทางเดินหายใจ ทำให้การไหลเวียนของโลหิตที่ติดขัดกลับดีขึ้น เพราะหยกจะมีพลังในการขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และยังเหมาะกับการดูดซับปัญหา ช่วยให้จิตใจสงบขึ้น ไม่ใส่ใจในคำนินทาว่าร้ายของคนอื่นมากนัก<br />
<br />
<b><span style="color: red;">KYANITE</span></b><br />
ไคยาไนท์ ช่วยส่งเสริมในเรื่องสติและปัญญา เหมาะกับนักเรียนนักศึกษา และผู้บริหารเจ้าของธุรกิจที่มีความรับผิดชอบสูง คนที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้อง<br />
หินนี้จะแสดงพลังความสามารถในตัวเราที่มีออกมา ทำให้เรามีความสามารถหลายด้าน และทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะกลายเป็นคนที่เก่งและมีความสามารถในสายตาของผู้ที่พบเห็น<br />
<br />
<b><span style="color: red;">LABRADORITE</span></b><br />
ลาบราโดไรต์ หินชนิดนี้จะเป็นตัวเชื่อมประสานให้เราทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใจตัวเราได้ดีขึ้น เป็นหินที่เหมาะจะใช้กับการนั่งสมาธิ คนที่สมาธิสั้น ช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างความคิด และการกระทำ หากคนที่มีอาการผิดปกติในร่างกายที่ค้นหาไม่พบ ตรวจไม่เจอ แต่เจ็บป่วยบ่อยครั้ง พลังหินจะช่วยบำบัดให้ผู้นั้นมีจิตใจที่สดชื่นแจ่มใส และมองโลกในด้านบวก ทำให้สภาพจิตใจเข้มแข็งขึ้น<br />
<br />
<b><span style="color: red;">LAPIS LAZULI</span></b><br />
แซฟไฟร์ ที่มีสีน้ำเงินเข้ม มีละอองทองผสมอยู่ในเนื้อ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง อำนาจ เสริมสร้างสติปัญญา มีพลังแห่งการหยั่งรู้ การเปิดตาเปิดใจให้ค้นพบสัจธรรม และความเป็นจริง มีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูงมาก ช่วยในการถอนพิษ หรือบำบัดอาการระคายเคืองในดวงตา ลำคอ เป็นพลอยที่มีค่ามากในสมัยอียิปต์ ชาวอียิปต์เชื่อว่า หินนี้เป็นหินเทพเจ้า สัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ และเกียรติอันสูงส่ง ช่วยปกป้องอันตราย มีความหมายด้านเรียกเงินเรียกทอง นำโชคดีด้านการเงินมาให้ ช่วยนำพาความเข้าใจคนอื่น และเข้าใจตัวเอง บำบัดอาการขี้หลงขี้ลืม โรคสมองเสื่อม ดีต่อสายตา สมองและระบบหมุนเวียนโลหิต ขจัดความกังวลและความหวาดกลัว ช่วยให้มองโลกในแง่ดี มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาอาการคั่งของเลือด โรคลมชัก ขับเสมหะ ช่วยให้ความแข็งแรงกับทั้งร่างกายและจิตใจ ป้องกันโรคซึมเศร้าและอาการผิดปกติทางจิต เปิดช่องทางให้กับประสาทสัมผัสภายใน และสร้างความกระจ่างแก่จิตใจ<br />
เป็นหินที่เปิดดวงตาที่สาม เหมาะกับทุกราศีเกิด สามารถส่งคลื่นพลังกระตุ้นพลังกายทิพย์ในร่างกาย ให้สามารถมองเห็นลึกเข้าไปในจิตใจของทุกผู้คน มองลึกลงไปในปัญหาต่างๆ จึงมักเป็นหินที่ใช้เกี่ยวกับดวงชะตาโหราศาสตร์ มีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูงมาก เสริมสร้างสติปัญญา คุณสมบัติเด่นของลาพิส ลาซูลี อยู่ที่แร่ไพไรท์ที่ฝังอยุ่ในเนื้อหิน จะช่วยให้เรามองเห็นหนทางที่จะนำพาทรัพย์สินมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ สามารถเรียกเงินเรียกทองได้<br />
ชาวอียิปโบราณ เชื่อว่าถ้าสัมผัสลาปิส ลาซูลี่ทุกวันจะนําความสุขใจ ความสมหวังและมีชีวิตที่สุขสบาย เพราะเป็นหินที่เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ และการมีสถานะภาพที่สูงส่งในสังคม เนื่องจาก ลาปิส ลาซูลี่ มีเกล็ดเล็กระยิบระยับของแร่ไพไรท์อยู่ด้วย ทําให้นึกถึงประกายของดวงดาวยามคํ่าคืน จึงทําให้นอนหลับอย่างเป็นสุข ช่วยในการนั่งทําสมาธิ ช่วยในการติดต่อสื่อสารทุกระดับอย่างไม่ติดขัด ชักจูงให้ตัวเองเชื่อในสัญชาตญานที่ถูกต้องของตนเอง ชักนําเพื่อนแท้เข้ามาในชีวิต ทําให้เป็นคนกล้าหาญในการเผชิญหน้าเข้าสังคม มีความมั่นใจในตัวเอง ช่วยในการตัดสินใจโดยการเลือกใช้ข้อมูลให้ถูกต้อง ทำให้เกิดความรักเข้าใจในหมู่พวกพ้องหุ้นส่วนในการทำธุรกิจ<br />
<br />
<b><span style="color: red;">LARIMAR</span></b><br />
ลาริมาร์ ส่งเสริมด้านความสงบสุขของจิตใจ นำพาความสงบสุขมาสู่ผู้ที่ครอบครอง และพลังงานนี้ยังส่งผลช่วยลบเรื่องแย่ๆ ด้านลบๆ ออกจากจิตใจของเราอีกด้วย<br />
<br />
<b><span style="color: red;">LAVA</span></b><br />
หินภูเขาไฟ เป็นหินสีดำที่เก็บความร้อนได้ดี มักจะนำไปบำบัดในแบบฉบับหินร้อน และใช้นวดเพื่อบำบัด โดยทั่วไปหินภูเขาไฟจะช่วยในเรื่องผิวพรรณ และกล้ามเนื้อ ต้นตำรับการนวดโดยใช้หินร้อนมาจากตะวันออกไกล หลายพันปีมาแล้ว เพิ่งไม่กี่ปีมานี้เองที่เพิ่งค้นพบเทคนิคดังกล่าว และนำกลับมาใช้อย่างแพร่หลาย <br />
หินภูเขาไฟช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยในการล้างพิษ (Detox) ของกล้ามเนื้อ และผ่อนคลายความกังวล รวมถึงช่วยให้นอนหลับสบาย<br />
ด้านการบำบัดของหินลาวา<br />
: เพิ่มออกซิเจนในกระแสเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น<br />
: ป้องกันการแข็งตัว และการเกิดลิ่มในกระแสเลือด ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคอัมพฤกษ์ และโรคอัมพาต<br />
: ช่วยขจัดเซลล์ไขมัน โปรตีนส่วนเกินและสารตกค้างอื่นๆ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ<br />
: ช่วยลดอาการซึมเศร้า และเพิ่มความกระฉับกระเฉง <br />
: ต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย<br />
: ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ<br />
: ช่วยเพิ่มพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญและการทำงานของเซลล์ในร่างกายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น<br />
: ช่วยให้ DNA แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพันธุกรรม<br />
: ทำให้น้ำมีโมเลกุลเล็กลง ร่างกายจึงสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น<br />
<br />
<b><span style="color: red;">MALACHITE</span></b><br />
มาลาไคท์ ช่วยเสริมอำนาจบารมี ความเจริญก้าวหน้า ป้องกันอุบัติเหตุ เสริมด้านคำพูด ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเจรจาต่อรอง เป็นหินที่ส่งเสริมให้อนาคตของคุณดีขึ้น และช่วยให้เข้าสมาธิได้เร็ว ในด้านความเชื่อ หากหินมีพลังแรงสั่นสะเทือน มีความหมายในด้านการเตือนภัยอุบัติเหตุที่จะเกิดค่อนข้างสูง เป็นการเตือนภัยล่วงหน้า หินจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองต้านพลังร้าย จนบางครั้งทำให้หินแตก มีรอยร้าวเกิดขึ้นได้<br />
<br />
<b><span style="color: red;">MULTI QUARTZ</span></b><br />
ควอตส์ เป็นหินใส มองเห็นสายแร่ด้านใน สีสันแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุ เชื่อว่าผู้สวมใส่จะมีความอุดมสมบูรณ์ และนำโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ หากมีการสื่อสารเรื่องเงินทอง อาจทำให้โชคดี เจรจาเป็นผลสำเร็จ หรือชนะการเสี่ยงทาย นอกจากนี้ ยังเป็นหินสร้างความเชื่อมั่น ชำระล้างพลังด้านลบ ปรับสมดุลในจิตใจ ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังดลบันดาลให้ทุกสิ่งสมปรารถนาราวกับปาฏิหารย์ และมีพลังพิเศษ นำสิ่งดีๆ มาสู่ตัวเองได้ และจะได้พบสิ่งดีๆ โดยไม่คาดหมาย ควรจะพกไว้ในยามเดินทาง<br />
<br />
<b><span style="color: red;">MOONSTONE</span></b><br />
มูนสโตน หรือมุกดาหาร "หินแห่งความรัก" เป็นหินที่มีสีขาวใส คล้ายหยดน้ำ สายหมอก หรือสีน้ำนม จัดเป็นอัญมณี ชุดนพเก้าของไทย เชื่อว่าจะสว่างใสมากขึ้นใน วันพระจันทร์เต็มดวง จึงเรียกว่า มูนสโตน หรือจันทรกานต์ เป็นหินเสริมศิรีิมงคล ช่วยสร้างพลังแห่งความพิศวาสให้กับคู่รัก นำความผูกพันมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ผู้หญิงที่สวมใส่หินชนิดนี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองทางด้านอารมณ์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือมีรอบเดือน และหากมีปัญหาในเรื่องความรัก มีความห่างเหินในชีวิตคู่ ควรถือมูนสโตนนี้ไว้ในมือ และนึกถึงปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างกัน คลื่นพลังของหินจะช่วยปลอบประโลมให้คุณคลายความทุกข์เศร้าลง รวมถึงทำให้ผู้ที่คุณกำลังคิดถึงอยู่นั้นเข้าใจในความรู้สึกของคุณมากขึ้น หินชนิดนี้จะเพิ่มพลังอย่างมหัศจรรย์ให้กับผู้เป็นเจ้าของ โดยเฉพาะคนที่กำลังมีความรัก หากฝังมูนสโตนไว้เหนือประตูด้านในของตัวบ้าน และแกะสลักเป็นรูปชาย-หญิง สวมกอดกัน สำหรับคู่แต่งงานใหม่แล้วจะทำให้การครองคู่นั้นยืนยาว และมีความศรัทธาไว้วางใจในกันและกัน ช่วยบำบัด ปัญหาต่อมไร้ท่อ โรคลมชัก ไทรอยต์ ท้องเสีย<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">Mother of PEARL</span></b><br />
ไข่มุก หรือแม่มุก แม่มุกเป็นฝาหอย ที่ให้กำเนิดเม็ดไข่มุกไว้ด้านใน จึงมีความหมายเหมือนกัน คือเป็นสัญลักษณ์แห่งเพศหญิง ให้คุณประโยชน์ในด้านปกป้องคุ้มครอง เสริมในด้านโชคลาง และป้องกันอาถรรพ์ ช่วยให้ความปรารถนาของผู้หญิงเกี่ยวกับความรักนั้นสมหวัง จึงนิยมสวมใส่สร้อยไข่มุก เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข และยังเป็นตัวแทนของเงินตรา นำพาความมั่งคั่งร่ำรวย พาคุณไปพบกับช่องทางทำมาหากิน<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">ONYX</span></b><br />
นิล เป็นโมราประเภทหนึ่ง สามารถปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ และคุ้มครองให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ หรือจากคนที่ไม่หวังดี พกติดตัวไปงานศพ ก็สามารถแก้เคล็ดให้กับคนที่ไม่ค่อยถูกกับงานศพ และคนที่สุขภาพร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อยๆ จึงควรสวมใส่หรือพกติดตัวไว้ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และนำพาโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง หรือไม่มั่นคงในความคิด คนที่หวาดระแวง วิตกกังวลกับสิ่งต่างๆ รอบตัว<br />
<br />
<b><span style="color: red;">OPAL</span></b><br />
โอปอล เป็นพลอยมีสีเหลือบเหลือง สะท้อน ประกายสีรุ้ง เป็นที่รวมพลังจากดวงจันทร์ และสายน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความบริสุทธิ์ และไร้เดียงสา เหมาะกับคนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในวงการมายา หรือวงการบันเทิงทุกรูปแบบ มีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ สามารถปกป้องคุ้มครองเสริมสิริมงคล ให้กับบุคคลที่เกิดในราศีตุลย์ ซึ่งเป็นการเสริมดวงชะตาให้เฉพาะกับราศีนี้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ คนโบราณยังมีความเชื่อเรื่องการเสริมเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามให้มารักใคร่เสน่หาอีกด้วย เนื่องจากโอปอลเป็นหินที่ค่อนข้างเปราะบางแตกหักง่าย จึงควรทำเป็นเครื่องประดับ โดยเฉพาะจี้ ต่างหู สร้อยคอ และควรเพิ่มพูนพลังให้โอปอลด้วยการนำไปล้างน้ำทะเล หรือน้ำสะอาดก็ดี<br />
ด้านการบำบัด : มีพลังแห่งบำบัดสูง บำบัดโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ และกระตุ้นพลังทางเพศได้ดี เชื่อว่าดื่มน้ำเย็นๆ จากการแช่โอปอล จะทำให้ผ่อนคลายขณะจะคลอดบุตร ช่วยรักษารากผมให้แข็งแรง ดูแลปอดให้แข็งแรง<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">PICTURE JASPER</span></b><br />
แจสเปอร์ เป็นหินที่ช่วยให้คนทำงานอย่างเป็นขั้นตอน พิถีพิถัน เหมาะที่ใช้ร่วมในการสร้างจิตนาการ มีความสามารถในการเข้าถึงธรรมชาติ มีพลังปกป้องคุ้มครอง ขจัดมลพิษและรังสี พลังแม่เหล็กต่างๆ ได้ ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียดได้ดี มีความคิดฉับไว ลวดลายของหินที่ปรากฎเสมือนแผนที่บอกทิศทางในจิตใจ ช่วยแก้ปัญหา เป็นสื่อสร้างความเข้าใจ และความนึกคิด ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้จิตสำนึก เหมาะกับผู้ที่มีอาชีพทางออกแบบสร้างสรรค์ ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับผู้ที่ป่วย หรือมีความกดดันด้านต่างๆ ด้านการบำบัดนั้นดีต่อตับ กระเพาะปัสสาวะ และถุงน้ำดี<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>PYRITE</b></span><br />
ไพไรต์ มีสีเหมือนเหล็ก ปนเงิน-ปนทอง มีจุดเด่นอยู่ที่ ลักษณะที่เป็นลูกบาศก์ หรือห้าเหลี่ยมสิบสองด้าน เป็นที่รู้จักกัน ในฐานะที่เป็นแร่ชนิดหนึ่ง สีเหลืองที่ออกเป็นสีทองเหลืองอ่อนๆ นั้น มักเป็นที่สับสนกับทอง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ทองคนเซ่อ' เป็นหินที่ช่วยขจัดความกังวล และความหวาดกลัว ช่วยให้มองโลกในแง่ที่ดี ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือด และยังนำโชคด้านการเงินมาให้อีกด้วย มีความหมายด้านเรียกเงินเรียกทอง ยิ่งนำมารับพลังจากแสงอาทิตย์ จะยิ่งเปล่งประกาย ระยิบระยับ และเพิ่มพลังดึงดูดสิ่งดีๆ เข้าสู่ตัวเราได้ ช่วยนำพาความเข้าใจตัวเอง และคนอื่นมาสู่เรา มักใช้ในด้านอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือด้านจิตใจมากกว่าร่างกาย ช่วยบำบัด อาการขี้หลงขี้ลืม และโรคสมองเสื่อม ดีต่อสายดา สมอง และระบบหมุนเวียนโลหิต<br />
ไพไรต์จัดว่าเป็นแร่นำโชค เป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณ ดูดซับความสุขความสำเร็จมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ช่วยในการพัฒนาจิตใจ ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาปวดศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ และสมาธิสั้นมีอาการดีขึ้น บรรเทาอาการย้ำคิดย้ำ ทำให้เบาบางลงและหายไปในที่สุด<br />
<br />
<b><span style="color: red;">RED JASPER</span></b><br />
เรด แจสเปอร์ เป็นหินสำหรับการวางรากฐานที่ดี ช่วยฟอกเลือด เหมาะสำหรับการรักษาความปลอดภัย และการอยู่รอด เป็นเครื่องบำบัดรักษาทางร่างกาย ช่วยทำให้หลักการในการดำรงชีวิตเรียบง่าย ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียดซึ่งเกิดขึ้นภายในตัว มีประสิทธิภาพต่อระบบไหลเวียนภายในร่างกาย<br />
<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>RHODOCHROSITE</b></span><br />
โรโดโครไซต์ เป็น หินที่มีสีแดงริ้วขาว อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า 'อินคาลอส' ตามถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและใต้ ชั้นหินจากสีชมพูถึงสีแดงเกิดเป็นลายพาดผ่าน หินสีแดงอมชมพู จะเป็นหินที่มีค่ามาก เป็นหินแห่งความรักและความสมดุล เหมาะกับคนที่รู้สึกโดดเดี่ยว ผิดหวัง อกหัก หวาดกลัว และรู้สึกไม่ปลอดภัย ช่วยให้รู้จักการให้อภัยตัวเอง เห็นความดีของตัวเอง มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นหินที่ช่วยรักษาบาดแผล และความเศร้าใจในอดีต ให้กำลังใจ ความมั่นใจในการก้าวต่อไป รักษาความสมดุลทาง อารมณ์และร่างกาย ในแง่เกี่ยวกับความรักความเข้าใจ <br />
ด้านการบำบัด : รักษาโรคเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนโลหิต รักษาแผล ในกระเพาะลำไส้ บำบัดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร นอกจากนั้น ยังช่วยฟอกเลือด และเหมาะกับผู้เป็นมะเร็ง โดยหินชนิดนี้ จะช่วยชำระล้าง และสร้างความสมดุลให้มากยิ่งขึ้น<br />
<br />
<b><span style="color: red;">RHODONITE</span></b><br />
โรโดไนต์ หินชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ชัดเจน คือเสริมความรัก ในยามที่มีรักก็ให้พกพาโรโดไนต์ติดตัวไว้ เมื่อรักสำเร็จสมดั่งหมายก็ดีไป แต่ถ้าเมื่อใดรักมีปัญหา ก็ให้คิดถึงโรโดไนต์ เพราะหินนี้จะช่วยขจัดเมฆหมอกร้ายในชีวิตจิตใจให้ออกไปได้ ถือเป็นหินบำบัดรักษาหัวใจที่มีพลังสูงชนิดหนึ่ง คำแนะนำ ถ้าอยากให้ชีวิตจิตใจ และความรักของตัวเองเป็นสุขอยู่เสมอ ควรนำโรโดไนต์ไปให้ใครก็ตามที่กำลังมีทุกข์จากความรัก จะเป็นการแก้เคล็ดเสริมดวงไม่ให้สิ่งนั้นเกิดกับตัวเอง<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ROSE QUARTZ</b></span><br />
โรสควอตซ์ เป็นหินที่มีสีชมพูอ่อนใส หินแห่งความรักและการให้อภัย ฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กับคนที่อกหัก มีผลดีกับไต และระบบการไหลเวียนต่างๆ กระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ปกติ ทั้งยังเสริมเสน่ห์ สร้างมิตรภาพ เสริมความร่ำรวย ช่วยให้เจ้านายรักใคร่ และปกป้องคุ้มครองโดยเฉพาะเด็กแรกเกิด ถือได้ว่าหินโรสควอตซ์ เป็นหินครอบคลุมให้คุณประโยชน์ในทุกๆ ด้าน ปัจจุบันนิยมใช้หินชนิดนี้เป็นของขวัญแทนคำบอกรัก แทนความห่วงใย<br />
ด้านการบำบัด : โรสควอตซ์เป็นหินที่มีพลังขจัดความโกรธ เกลียด หรือการอิจฉาริษยา คนที่อกหักจะช่วยให้รู้สึกรักตัวเองมากขึ้น และหากอยู่ในที่ทำงาน ที่มีสถานการณ์ยุ่งยากเลวร้าย มีคนคอยเป็นศัตรูควรพกหินโรสควอตซ์ไว้เป็นเครื่องประดับ หรือหินเป็นก้อน วางไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถทำให้เกิดความสงบขึ้นในที่ทำงานได้เช่นกัน<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>RUBY</b></span><br />
ทับทิม ราชาของพลอย (King of Gems) เป็นแหล่งรวมพลังอำนาจหลายประการช่วยปกป้องผู้สวมใส่จากโรคร้าย สามารถต่อต้านพิษร้ายต่างๆ ได้ แปรเปลี่ยนความคิดที่ชั่วร้ายให้กลายเป็นความคิดที่ดี เชื่อกันว่าทับทิมจะเปลี่ยนสีเมื่อมีวิญญาณชั่วร้ายเข้ามาวนเวียนใกล้ผู้สวมใส่ ช่วยเพิ่มความกล้าหาญ และความสง่างามให้แก่เจ้าของ มีผลดีต่อสุขภาพ สร้างความมั่นคงในด้านความสงบและรุ่งเรือง เป็นหินประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ และเป็นหินประจำเดือนเกิดกรกฎาคม และธันวาคม <br />
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักนิรันดร์ การแต่งงาน เสริมความรัก ความเมตตา ความร่ำรวย ปกป้องคุ้มครอง ให้ความสนุกสนาน ป้องกันฝันร้าย ทับทิมเป็นตัวแทนแห่งความรักอันบริสุทธิ์ การอยู่ร่วมกันของหญิงชาย เสริมสร้างความรัก ความเข้าอกเข้าใจ และยังใช้เป็นหินบำบัดเกี่ยวกับพลังทางเพศ<br />
<br />
<b><span style="color: red;">RUTILE QUARTZ </span></b><br />
ไหมทอง เป็นควอตซ์โปร่งใส มี เส้นไหม สีทอง นาค หรือเงิน นิยมเรียกว่า ไหมทอง ไหมเงิน ไหมนาค ช่วยก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ลบล้างพลังด้านลบ นำความร่ำรวย โชคลาภมาให้ รักษาโรคเกี่ยวกับระบบสัมผัส ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย จะนำความอุดมสมบูรณ์ และโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ สวมใส่ติดกายไว้หากมีการสื่อสารเรื่องเงินทอง อาจทำให้โชคดี เจรจาเป็นผลสำเร็จ หรืออาจถูกลอตเตอรี่ได้รับรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นหินสร้างความเชื่อมั่น ชำระล้างพลังด้านลบ ปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เสริมอำนาจบารมีแก่ผู้เป็นเจ้าของ <br />
ความหมายเมื่อแยกตามสี ทั้ง 5 สี<br />
1. ไหมทอง Gold Rutilated Quartz นำพาความมั่งคั่งร่ำรวย และทรัพย์สินและโชคลาภ อำนาจบารมีมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ<br />
2. ไหมเงิน Silver Rutilated Quartz เรียกเงินเรียกทองให้กับผู้เป็นเจ้าของ เพียงแต่ไหมเงินนั้น จะหนักไปทางเงินๆ ทองๆ มากกว่าอำนาจ<br />
3. ไหมนาค Pink Rutilated Quartz ให้คุณเช่นเดียวกับไหมทอง และช่วยหนุนในด้านเมตตา และเด่นในเรื่องการเยียวยารักษาสุขภาพ การปกป้องคุ้มครองเจ้าของ<br />
4. ไหมดำ Black Rutilated Quartz ทำให้ผู้ครอบครองเกิดความเจริญ รอดพ้นภัยพิบัติ ป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจต่างๆ อย่างดีเยี่ยม เสมือนเป็นเครื่องรางของขลัง<br />
5. ไหมเขียว Green Rutilated Quartz ปกป้องคุ้มครองเจ้าของให้พ้นภัย ขจัดความเครียด ทำให้ใจสงบ ส่งเสริมให้เจ้าของสามารถรับรู้จิตใจและอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเอง ลดส่วนเกินในจิตใจให้เกิดความสมดุล ช่วยขจัดความชั่วร้าย เสริมความสุข<br />
<br />
<b><span style="color: red;">STRAWBERRY QUARTZ</span></b><br />
สตอเบอรี่ควอตซ์ เป็นหินแห่งความสุข ทำให้มีอารมณ์ขัน - ดีสำหรับการตามหารักแท้ - เข้าใจในความคิดที่ถูกต้อง และดินทางไปในหนทางที่ดี - มีความสงบและเคารพรักตัวเอง - ฟื้นฟูพลังให้หายจากการเหนื่อยล้า ทั้งทางร่างกายและจิตใจ<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">SUGILITE</span></b><br />
ซูกิไลต์ นำโชคเสริมดวง เพิ่มพลังความสมดุลของร่างกายและจิตใจ ช่วยกำจัดความไม่มั่นใจในตนเอง เสริมสร้างความคิดริเริ่ม ทำให้มีสมาธิ มีความจำที่ดีขึ้น <br />
<br />
<b><span style="color: red;">SUPER SEVEN</span></b><br />
หินซุปเปอร์ 7 เป็นหินที่มาจากประเทศบราซิล มีความแข็งประมาณ 7 โมห์ ประกอบด้วยแร่หินที่มีคุณสมบัติโดดเด่น 7 ชนิดในเนื้อหินเดียวกัน แยกได้ ดังนี้<br />
Amethyst (อเมทิสต์) ช่วยในเรื่องการตัดสินใจ รักษาความจำ ช่วยในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว การติดต่อประสานงานกับคนหมู่มาก <br />
Crystal Quartz (คริสตัล ควอตซ์) ช่วยเพิ่มทักษะการสื่อสาร การฟัง ให้พลังงานเพิ่มพูนสติปัญญา <br />
Smokey Quartz (สโมกี้ ควอตซ์) ช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ช่วยผ่อนคลายจิตใต้สำนึกได้เป็นอย่างดึ จึงช่วยให้เกิดความเฉียบแหลมในการทำธุรกิจ <br />
Cacoxenite (คาโคซีไนท์) ช่วยเพิ่มความรู้สึกเชิงบวก เพิ่มพลังการให้ และการรับพลังแห่งเมตตา <br />
Goethite (เกอไทท์) ช่วยลดความกังวลในจิตใจ สร้างสมาธิได้อย่างรวดเร็ว ทำสมาธิได้ดีในยามที่ต้องการ <br />
Lepidocrosite (เลพิโดโครไซต์) ช่วยในเรื่องการเรียนรู้ได้ไว ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ <br />
Rutile (รูไทล์) ช่วยพัฒนาร่างกายและจิตวิญญาณ มอบความแข็งแกร่ง ให้โชคเรื่องความรัก ปัดเป่าโชคร้าย คุ้มครองให้พ้นภัย<br />
ซึ่งแร่ทั้ง 7 จะช่วยในการเสริมสร้างความสามารถ พลังพิเศษในการเชื่อมต่อทุกจักระในร่างกายของมนุษย์ ช่วยในการรักษาสมดุล และทักษะทางพลังจิต ได้แก่ การฝึกกระแสจิต ตาทิพย์ การส่งถ่ายพลังงาน และเป็นเหมือนหินที่ช่วยในการขยายกำลังของหินชนิดอื่นๆที่อยู่รอบๆให้มีพลังแรงขึ้น นักภาวนาหรือผู้ที่ใช้หินในการทำสมาธิและการบำบัดจึงนิยมหินชนิดนี้ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่มีในหินชนิดใด และถือเป็นหินที่สามารถเก็บพลังงานได้ดีเยี่ยม โดยไม่ได้ต้องล้างพลังงานในหิน เพราะหินจะมีการปรับสมดุลภายในตามธรรมชาติด้วยตัวเอง<br />
<br />
<b><span style="color: red;">TIGER EYE</span></b><br />
พลอยตาเสือ มีสีเหลืองเหลือบลายน้ำตาล มีคุณสมบัติส่งผลดีต่อ จิตใต้สำนึก สามารถค้นหาสิ่งดี ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเราช่วยบรรเทาอาการปวดศรีษะ เป็นหินที่พลังปกป้องคุ้มครองสูง มีคุณสมบัติในการพัฒนาญาณหยั่งรู้ ให้เกิดในรูปของการมองเห็น เหมาะกับการใช้นั่งสมาธิ ช่วยกระตุ้นพลังชีวิต และพลังความคิดให้เกิดแรงบันดาลใจ ลดความเครียด ช่วยขจัดปัดเป่าฝันร้าย ขับไล่วิญญาณไม่ให้มาใกล้ หากรู้สึกว่าหินที่สวมใส่อยู่เกิดร้อนวูบวาบ แปลว่าหินกำลังเตือนให้คุณหยุดนั่งสงบจิตใจ หรือควรหาเวลานั่งสมาธิบ้าง<br />
<br />
<b><span style="color: red;">TURQUOISE </span></b><br />
เทอร์ควอยซ์ เสริมพลังอำนาจบารมีทั้งชาย และหญิง ช่วยให้สติปัญญาดี และมีความสามารถเหนือผู้อื่น แคล้วคลาดปลอดภัย และมีชัยชนะเหนือศัตรู สำหรับผู้หญิงที่มีหน้าที่การงานใหญ่โต หรือเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัว ควรมีหินชนิดนี้พกติดตัวไว้เป็นเครื่องประดับ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหินชนิดนี้จะส่งพลังให้ลูกน้องบริวารจะจงรักภักดีมีความซื่อสัตย์ต่อคุณ และยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกลบ่อยครั้ง<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">UNAKITE </span></b><br />
ยูนาไคต์ ชื่อนี้มาจากภาษากรีก Epidosis มีความหมายว่า "เติบโตไปด้วยกัน" ยูนาไคต์นั้นประกอบด้วยแจสเปอร์สีแดงและแร่เอพิโดตสีเขียว ความหมายก็คือ "อะไรที่มาด้วยกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งกันและกัน" ยูนาไคท์นั้นถูกกล่าวว่าจะช่วยยกระดับจิตใจของผู้สวมใส่ เมื่อรู้สึกจิตใจตกต่ำจะทำให้มองเห็นความสวยงามในชีวิต และช่วยใช้เปิดโปงความหลอกลวง ช่วยค้นหาสิ่งที่หายไป เป็นหินที่ส่งเสริมพลังงานด้านบวก ช่วยให้ยอมรับความรักและความห่วงใยจากผู้อื่น ทำให้มองเห็นความเป็นตัวเอง ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ผู้สวมใส่ยึดมั่นในเป้าหมายและความปรารถนาของตน และมั่นใจในการก้าวไปสู่เป้าหมายนั้น หากสวมใส่ติดตัวประจำจะนำพาโชคลาภ หรือชนะในการเสี่ยงทาย เปิดดวงด้านลาภลอยต่างๆ<br />
<br />
<b><span style="color: red;">VARISCITE</span></b><br />
วาริสไซต์ เป็นหินแห่งความโชคดี ซึ่งนำความสำเร็จมาให้ทั้งในด้านความรักและการเงิน เป็นหินแห่งกำลังใจและความหวัง สีฟ้าของเทอร์ควอยซ์ยังช่วยคลายเครียด ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับอาการเจ็บป่วยและอาการอ่อนเพลีย ช่วยเปิดจักระหัวใจ และยังนำมาซึ่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ช่วยรักษาระบบประสาท อาการปวดแน่นท้องและเส้นเลือดตีบ เสริมสร้างพลังงานและความยืดหยุ่นของเส้นเลือดและผิวหนังของร่างกาย<br />
ด้านการบำบัด: แก้อาการเหนื่อยเรื้อรัง ทำให้มีความคิดกระจ่างใส และหลับสบาย ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ไม่แข็งกระด้างจนทำให้หลอดเลือดตีบตัน รักษาโรคเก้าส์ รูมาติซึม ตะคริว รักษาอาการไมเกรน<br />
<br />
<b><span style="color: red;">ZOISITE with RUBY</span></b><br />
ซอยไซท์ วิท รูบี้ ช่วยเสริมสติปัญญา เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้คนที่ขาดความกระปรี้กระเปร่า เฉื่อยชา กระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองและสนใจสิ่งรอบข้างดีขึ้น เสริมความกล้าหาญ กล้าคิดกล้าทำ เสริมความมั่งคั่งร่ำรวย ดีกับเรื่องความรัก ผู้หญิงอัฟริกันมักจะสวมสร้อยคอประดับหินชนิดนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือผู้ชาย ทำให้คนหลงไหลในเสน่ห์ พูดจาอะไรจะมีคนรักใคร่เชื่อถือ และมีคนเกรงอกเกรงใจ<br />
<br />
<br />
<br />
Cr. Facebook Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-88772220907153823482018-11-20T18:40:00.000-08:002018-11-20T19:00:47.759-08:00ซีอิ๊ว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<b>ซีอิ๊วนั้นจะว่าไปก็ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของชาวตะวันออกอย่างแท้จริง </b><br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgVzLjy76jb8VPLlbXurvpJzwaa-KGmaUrcoApYcBnjC-MQuBd9-7WwBkkBDnsvyNGzTsuZ10pA1u8NkY0vPao6ZzA-QaeDP7KEhfSAM1A52ermTpUGOpGlQhAo4OBROs3o59KIyqT2m0/s1600/Preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" data-original-height="381" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgVzLjy76jb8VPLlbXurvpJzwaa-KGmaUrcoApYcBnjC-MQuBd9-7WwBkkBDnsvyNGzTsuZ10pA1u8NkY0vPao6ZzA-QaeDP7KEhfSAM1A52ermTpUGOpGlQhAo4OBROs3o59KIyqT2m0/s1600/Preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce.jpeg" /></a><br />
กล่าวย้อนไปในสมัยอดีตนั้น ซอสปรุงรสเค็ม ในจักรวรรดิโรมันเองก็เกิดวัฒนธรรมการใช้ซอสเหมือนบ้านเรา แต่เขาจะเรียกว่า การุม/ลิควาเมน ซึ่งนัยหนึ่งก็คือน้ำปลาฝรั่ง(หมักจากแอนโชวี่และเกลือ)นั่นเอง<br />
แต่เหนือจากนั้นทางซีกโลกตะวันตก ความนิยมใช้เกลือเป็นส่วนประกอบในการอาหารมากกว่า แต่ก็เกิดวัฒนธรรมคู่ขนานอีกก็คือ แมกกี้(ซอสปรุงรส)นั่นเอง แต่ถ้าเทียบกับประวัติการทำซีอิ๊วนั้นก็ถือเสียว่าตามหลังอยู่มากโข<br />
<br />
คนจีนนั้นรู้จักถั่วเหลืองมานานแล้ว ตั้งแต่สมัน 3500ปีที่แล้ว ว่ากันว่าซีอิ๊วนั้นเกิดขึ้นในราชวงศ์จู(246-1134ปี ก่อนคริสตกาล) โดยเรียกมันว่า chiang/jiang แต่ก็ว่ากันว่าซีอิ๊วในสมัยนั้นอาจไม่ได้มีวิธีการผลิตอย่างสมัยนี้ แต่เป็นถั่วเหลืองหมักทั้งเมล็ดจนพัฒนาเป็นเต้าเจี้ยวเเบบเมล็ด และแบบข้นเช่นมิโสะญี่ปุ่น จนพัฒนาเป็นน้ำกรองจากถั่วเหลืองหมักกับข้าวและน้ำเกลือ<br />
ล่วงเข้าถึงสมันราชวงศ์ซ้อง(ค.ศ.960-1279) ซีอิ๊วจึงเริ่มแพร่หลายมาก ถึงขั้นเป็น 1ใน7สิ่งจำเป็นของวิถีจีน คือ ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ น้ำส้มฯ ชา ซีอิ๊ว และในสมัยนี้ คำว่า chiang ก็เริ่มทีความหมายเจาะจงถึงซีอิ๊ว ไม่ใช่หมายถึงถั่วเหลืองหมักเหมือนเมื่อก่อน ดังที่ต่อมาจีนได้เรียกซีอิ๊วว่า "เจี่ยงอิ้ว" และรับต่อไปถึงญี่ปุ่น<br />
<br />
ญี่ปุ่นนั้นเริ่มใช้ซีอิ๊วมาจากการทำมิโสะก่อนที่จะเอามาหมักกับข้าวคั่วและน้ำเกลือเพื่อกรองเป็นซีอิ๊ว ช่วงปีค.ศ.1561-1661 ซีอิ๊วยี่ห้อ คิคโคแมน เริ่มหมักที่หมู่บ้านโนดะทางตะวันตกของเอโดะ จนปี 1630 โชยุนั้นก็ได้แพร่หลายจนกลายเป็นวิถีการกินของคนญี่ปุ่น<br />
และถึงจะมาทีหลังแต่ดังกว่า โชยุนั้นดูจะแพร่หลายโด่งดังมากกว่าต้นแบบของมันเสียอีก รากศัพท์ของโชยุ มาจากภาษาจีนกวางตุ้งที่เรียกซีอิ๊วว่า ซิโหย่ว ภาษาจีนกลางว่า ซิยุ<br />
<br />
ซีกโลกตะวันตกเพิ่งรู้จักซีอิ๊วครั้งแรกจากญี่ปุ่น โดยนำเข้ามาเมื่อช่วง คริสตศตวรรษที่17 โดยพ่อค้าชาวฮอลันดา โดยเรียกมันว่า โซย่า(soya) ลือกันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่15 โปรดปรานมันมาก<br />
ภาษาอังกฤษได้เรียกชื่อของมันตามคำว่า soya/soy ตามภาษาดัตช์ เหมือนที่เรียกถั่วเหลือง จนภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมันเป็น soy sauce จนปัจจุบัน<br />
<br />
คนจีนนั้นเมื่ออพยพไปที่ไหนก็จะเอาซีอิ๊วไปที่นั่น เช่น เกาหลี อินโดฯ ฟิลิปินส์ เวียดนามฯลฯ<br />
ในไทยนั้นเรียกชื่อตามสำเนียงแต้จิ๋ว ว่า "ซีอิ๊ว" ซึ่งแปลว่า "ซอสถั่วเหลือง"<br />
แต่การหมักซีอิ๊วของคนจีนในไทยแรกๆกลับเป็นของคนกวางตุ้ง ที่มาค้าขายในไทยโดยหมักขายเองใช้เองในร้านขายของชำ จนต่อมาเริ่มมีอุตสาหกรรมมากขึ้นจึงขยับขยายเป็นโรงงานเช่น หยั่นหว่อหยุ่น หรือง่วนเชียง ก็พัฒนามาจากซีอิ๊วร้านชำนี่หละ<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7XLRqAqc1ZY-lonobWG8I71ut6cFN5rkXrm1O26tusvlU3DE29bJdck-coY0HLkgOu4IZVC5pmAosNqomkb6NB09YdHPAZyq9e2sXW_9utAMzRpdlNC6JA5Aa2rKkwsLqIXPX_9Ybw9s/s1600/Preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce-1.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" data-original-height="418" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7XLRqAqc1ZY-lonobWG8I71ut6cFN5rkXrm1O26tusvlU3DE29bJdck-coY0HLkgOu4IZVC5pmAosNqomkb6NB09YdHPAZyq9e2sXW_9utAMzRpdlNC6JA5Aa2rKkwsLqIXPX_9Ybw9s/s1600/Preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce-1.jpeg" /></a><br />
<b>การผลิต</b> <br />
ซีอิ๊วเป็นซอสที่เกิดจากการหมัก ดังนั้นจะเปรียบกับไวน์ก็คงไม่เกินเลยไปนัก โดยพื้นฐานนั้นซีอิ๊วเกิดจากปฏิกิริยาของถั่วเหลืองในน้ำเกลือ โดยมีเชื้อราเป็นตัวเริ่ม ข้าวสาลี/แป้งอื่นๆ ผสมกันให้เกิดความกลมกล่อมขึ้น<br />
<br />
<b>ถั่วเหลือง</b><br />
ถั่วเหลือที่ดีคือถั่วเหลืองที่มีปริมาณโปรตีนมาก ถั่วเหลืองที่ใช้ทำซีอิ๊วมักเลือกขนาดเล็กแต่มีโปรตีนมาก เปลือกหนาเหนียวไม่แตกง่ายเวลาต้ม ว่ากันว่าถั่วที่ดีที่สุกนั้นมาจากแมนจูเรียในจีน <br />
บางครั้งการใช้ถั่วเหลืองในการหมัก จะใช้ถั่วเต็มเมล็ด หรืออาจใช้กากถั่วเหลืองที่สกัดน้ำมันเอาไปทำน้ำมันถั่วเหลืองแล้วก็ได้<br />
<br />
<b>ข้าว/แป้ง</b> <br />
โดยทั่วไปมักใช้ข้าวสาลี เพราะรสและกลิ่นหอมมากกว่าข้าวอื่นๆ แต่ซีอิ๊วบางชนิด อาจไม่ใส่เลยก็ได้ <br />
ข้าวที่มหักนั้นก็มีหลายทั้งแบบคั่วแล้วโม่ละเอียด หรือแบบแป้งสาลีไปเลย <br />
<br />
<b>เชื้อรา</b><br />
Aspergillus oryza และ A. soyae เป็นเชื้อที่นิยมเอามาใช้เพราะประสิทธิภาพสูงในการสร้างเอนไซม์ เพาะเลี้ยง่าย และเมื่อหมักไปเชื้อก็จะค่อยๆตายไปเอง เราใช้เชื้อราแค่เป็นตัวเร่งการสลายโปรตีนเท่านั้น <br />
เชื้อAspergillus oryza นำมาใช้ในการผลิตเหล้าเหลืองด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รสหรือกลิ่นของเหล้าจีน บางคนว่าคล้ายซีอิ๊ว<br />
<br />
<b>น้ำเกลือ </b><br />
นิยมใช้เกลือทะเลละลายน้ำ โดยเข้มข้นที่17-22% ซึ่งพอที่ยับยั้งไม่ห้แบคทีเรียที่ทำให้เน่าเติบโต และไม่เข้มเกินไปที่จะทำให้จุลินทรีย์จากเชื้อราโตได้ <br />
<br />
<b>แสงแดด </b><br />
เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงแดดดีก็จะทำให้การหมักเร็วขึ้น การผลิตซีอิ๊วในไทย จึงใช้เวลาสั้นกว่าของชาติอื่น แต่ในปัจจุบันใช้การคุมอุณหภูมิแทนแล้ว ซึ่งสะดวกกว่ามาก<br />
<br />
<br />
<b>ระยะเวลาหมัก </b><br />
หมัก1ปี กลิ่นดี <br />
หมัก2ปี รสดี<br />
หมัก3ปี สีดี <br />
ระยะเวลานั้นมักอยู่ที่6-8เดือน แต่อย่างน้อยก็ต้องหมัก1-2เดือน ถึงจะได้ซีอิ๊ว ยิ่งหมักสั้น สีจะอ่อนและเค็มจัด แต่เมื่อหมักต่อๆไปสีจะเข้มขึ้นงและรสเค็มลดลง ความหนืดก็เพิ่มขึ้น กรดอะมิโนเยอะขึ้น <br />
ซีอิ๊วที่หมักได้ตามเวลานั้นจะได้สีน้ำตาลแดงเข้ม จนผ่านไปสีจะเข้มจนถึงดำ แต่ถ้าสีจางๆ เกิดจากใช้ตัวเร่งให้เกิดการหมัก เช่นการใช้ความดันเร่งให้หมักไวขึ้น หรือแม้ระทั่งการที่ผสมน้ำเกลือเจือจางมากเกินไป ทำให้ได้ซีอิ๊วคุณภาพต่ำ<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpzoLwPUY2_zCs8QwtoVLCLm78knipOwQ2q85oIP-yaIy_WGnrec10A2mQEEahDJKurESVhx7oVWSQV3s5anMQFHDZJP4gMj1T29fMGM-lUX9ds0ysmfxgQDe3CCbuwfmphjDKvW1khKI/s1600/Preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce-3.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" data-original-height="345" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpzoLwPUY2_zCs8QwtoVLCLm78knipOwQ2q85oIP-yaIy_WGnrec10A2mQEEahDJKurESVhx7oVWSQV3s5anMQFHDZJP4gMj1T29fMGM-lUX9ds0ysmfxgQDe3CCbuwfmphjDKvW1khKI/s1600/Preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce-3.jpeg" /></a><br />
<br />
<b>วิธีทำ</b><br />
<b><br /></b>
- ถั่ว เหลือง 0.5 กก.<br />
- แป้งสาลี หรือแป้งข้าวเจ้า 150 กรัม<br />
- ส่าเชือ 1-2 ช้อนชา<br />
- น้ำเกลือ (<i>17-22% การเตรียมน้ำเกลือควรทำล่วงหน้าไว้ก่อน 1 วัน</i>) 2 ลิตร<br />
<b><br /></b>
-นำถั่วเหลืองมาล้างสิ่งปนเปื้อน แช่น้ำ8-10ชั่วโมง โดนเปลี่นน้ำตลอดด้วยวิธีน้ำล้น เพื่อป้องกันการเน่าเสีย <br />
-นึ่งถั่วเหลืองให้สุกแล้วผึ่งแห้ง <br />
-นำผสมกับแป้งและเชื้อรา แล้วเกลี่ยทิ้งไว้3-4วันจะมีเส้นใยเกิดขึ้น ก็จะได้ก้อน"โคจิ"<br />
-น้ำโคจิใส่ถังหมัก เติมน้ำเกลือจนท่วม เพื่อให้ไดโมโรมิ หลังจากเตรียมโมโรมิแล้วจะทิ้งไว้ให้เกิด<br />
การหมักขึ้น คนสัปดาห์ละครั้งเพื่อไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก และยังยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการ หมักภายใต้แสงแดด แต่ไม่ให้โดนน้ำค้างและน้ำฝน<br />-ถ้าเป็นการหมักแบบธรรมชาติ ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิจะใช้เวลาในการหมัก 12-14 เดือน แต่ถ้ามีการควบคุมอุณหภูมิช่วง 35-40 องศาC ระยะเวลาในการหมักและการบ่มจะเหลือเพียง 2-4 เดือน<br />
-ได้ที่แล้วเอามากรอง โดยใช้ผ้าบิด หรือเครื่องอัด <br />
-ในตอนท้ายอาจมีน้ำมันถั่วเหลืองปนมาด้วย จึงมักทิ้งไว้4วันให้น้ำันลอยแล้วแยกออก <br />
-พาสเจอไรซ์ บรรจุขวด<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<b>ซีอิ๊วจีน</b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li>light เชิงโชว/เจียงชิง รสเบา ไม่หนืดข้น ทึบแสง และสีน้ำตาลดำ ถือว่าเป็นตัวแม่บทของซีอิ๊วทุกชนิด แยกย่อยไปอีกก็จะมี </li>
<li>touchou ทำจากถั่วเหลืองน้ำแรก เหมือนextra virgin olive oil </li>
<li>shuanghuang หมักสองครั้ง ซึ่งรสจะซับซ้อนขึ้นไปอีก ซึ่งจริงแล้วก็ยากในการจำแนก แต่รวมๆแล้วก็มักไว้ใช้จิ้ม</li>
<li>dark/old เล่าโฉว สีเข้มและข้นหมักนาน ใส่โมลาส ซึ่งเป็นลักษณะเด่น นิยมใส่ในระหว่างทำอาหารกลิ่นจะเปลี่ยนหลังได้รับความร้อน รสจะคมขึ้นเเละหวานเล็กๆ รสมักจะเค็มน้อยกว่าแบบขาว โดยมากจะใส่เพื่อให้สีและกลิ่น มากกว่าให้รสเค็ม</li>
<li>thick เจียงโย่วเกา ซีอิ๊วดำข้นและด้วยแป้งและน้ำตาล บางทีใส่ชูรสลงไปผสมมักใช้จิ้ม หรือราดลงไปในอาหารเพื่อเติมกลิ่น</li>
<li>dark soy paste/เต้าเจี้ยว ฮวงเจียง แม้ว่าไม่ใช่ซีอิ๊วแต่ก็ถือว่าเป็นแบบหนึ่งของซีอิ๊วเป็นวัตถุดิบหลักของ จาเจี้ยงเมี่ยน จริงๆแล้วมันก็คือเต้าเจี้ยวนั่นหละ</li>
<li>ซีอิ๊วนึ่งปลา ใช้ซีอิ๊วขาวมาผสมกับยีสต์สกัด(ซอสปรุงรส)เพื่อกลิ่นที่เข้มข้นขึ้น</li>
</ul>
<br />
<br />
<br />
<b>ญี่ปุ่น </b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li>Koikuchi ซีอิ๊วแบบฝั่งคันโต ใช้แทบทุกอย่างในอาหารญี่ปุ่น เกือบ80% ถือเป็นซอสแม่บท ทำจากถั่วเหลืองและข้าวสาลีในปริมาณที่พอๆกัน ใช้ชื่อkijoyu/namashoyu ในแบบที่ไม่พาสเจอไรซ์</li>
<li>Usukuchi ซีอิ๊วแบบฝั่งคันไซ เค็มและใสกว่า Koikuchi</li>
<li>Tamari ถือกำเนิดมาจากตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นChubu region ทามาริเข้มกว่าทั้งสีและรส ใส่แป้งสาลีน้อย/ไม่ใส่เลย ซึ่งเหมาะสำหรับการไดเอทแบบไม่มีแป้ง(แอทกินส์) ซึ่งต้นแบบของโชยุชนิดนี้มาจากจีน โดยเริ่มจากการหมักมิโซะ จะได้miso-damari หรือที่เรียว่ามิโซะน้ำนั่นเอง</li>
<li>Shiro สีอ่อนมาก ตรงข้ามกับทามาริ ใช้ข้าวสาลีมากและถั่วน้อย รสเบาและอมหวาน มักใช้ในแถวคันไซ เช่นใช้กับซาชิมิ</li>
<li>Saishikomi(ต้มสองครั้ง) รสดี เข้มข้น และก็ถือว่าใช้แทนกันได้กับ tamari แต่ก่อนทำจากการหมักถั่วเหลืองต่อกับ koikuchiแทนการใช้น้ำเกลือ ดังนั้น จะดำกว่าและรสแรงกว่า โดยมีอีกชื่อว่า kanro shoyu หรือโชยุหวาน</li>
</ul>
<br />
<br />
โชยุแบบใหม่ๆของญี่ปุ่น<br />
<br />
<ul>
<li>Gen en(เกลือน้อย) เค็มน้อย โดยเป็นทางเลือกหนึ่งของโชยุ</li>
<li>Amakuchi เป็นโชยุของฮาวาย พัฒนาจากkoikuchi</li>
</ul>
<br />
<br />
เกรดของโชยุ<br />
<br />
<ul>
<li>Honjozo hoshiki 100% หมักธรรมชาติ</li>
<li>Shinshiki hoshiki 30-50% หมักธรรมชาติ</li>
<li>Tennen jozo เทนเนน โจโซ แปลว่าไม่ใส่แอลกอฮออล์</li>
</ul>
<br />
<br />
เกรดของโชยุสำหรับการขาย<br />
<br />
<ul>
<li>Hyojun เฮียวจุน ปกติ พาสเจอไรซ์</li>
<li>Tokkyu ทคคิว คุณภาพพิเศษ ไม่พาสเจอไรซ์</li>
<li>Tokusen โทคุเซน เกรดดีมาก ผลิตน้อยโดย ผลิตเป็นครั้งคราวเท่านั้นและไม่จัดอยู่ในกับการแบ่งเกรด</li>
<li>Hatsuakane ฮัทสึอาคาเนะ เกรดอุตสาหกรรม สำหรับผลิตเป็นกลิ่นหรือเป็นผงสำเร็จรูป</li>
<li>Chotokusen ชตโตะคุเซน สำหรับซื้อขายในตัวแทนจำหน่าย ถือว่าเป็นเกรดตัวอย่าง</li>
</ul>
<br />
<br />
<br />
<b>อินโดนีเซีย</b><br />
<br />
ซีอิ๊วในอินโดถือได้ว่าเป็นประเทศที่นิยมใช้และผลิตซีอิ๊วได้ดีมากแห่งหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากในอดีต คนจีนอพยพมาจากแผ่นดินจีนตอนใต้ ซึ่งในอาหารอินโดก็ถือว่าเป็นส่วนผสมของวัฒนธรรมการกินแบบจีนอยู่พอสมควร<br />
<br />
<ul>
<li>Kecap asin เคชัป อาซิน ซีอิ๊วรสเค็ม คล้ายซีอิ๊วขาวจีน แต่เข้มกว่าและกลิ่นจะหนักแน่นกว่า สามารถใช้เเทนกันได้</li>
<li>Kecap manis เคชัป มานิส ซีอิ๊วหวาน ข้นเป็นน้ำเชื่อม มีกลิ่นของโมลาสเพราะใส่น้ำตาลโตนด สามารถใช้โมลาสกับสต๊อกผักแทนได้</li>
<li>Kecap sedang กึ่งกลางระหว่างKecap asinและKecap manis</li>
<li>Kecap inggris วูสเตอรซอส</li>
<li>Kecap Ikan น้ำปลา</li>
</ul>
<br />
<br />
<b>ไต้หวัน</b><br />
ซีอิ๊วไต้หวันได้อิทธิพลจากทางฟูเจี้ยน/กวนตง ซึ่งแยกกับจีนตอนเกิดสงคราม ดังนั้น ซึ่งซีอิ๊วไต้หวันนั้นจึงมีพื้นฐานจากจีน แต่ใช้วิธีการผลิตแบบญี่ปุ่น โดยรวมถือว่าเป็นประเทศที่ผลิตซีอิ๊วได้รสดีมากเลยทีเดียว<br />
<br />
<b>เกาหลี</b><br />
Joseon ganjang เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจาก doenjang(เต้าเจี้ยวเกาหลี) ใสและสีน้ำตาลดำ บางชนิดทำจากถั่วเหลืองกับน้ำเกลือ ส่วนความเค็มนั้นผันผวนตามผู้ผลิต มักใช้แยกกัน<br />
<br />
<ul>
<li>สีส้ม - สำหรับจิ้ม</li>
<li>สีเหลือง - สำหรับปรุงซุป</li>
<li>510s - เกรดพรีเมี่ยม</li>
</ul>
<br />
<br />
<b>เวียดนาม</b><br />
เวียดนามก็ใช้ซีอิ๊วเหมือนกัน โดยรัยกว่า xi dau /เนื้อก เทือง <br />
<br />
<b>มาเลเซีย</b><br />
ในสิงคโปร์+มาเลเซีย จะเรียกว่า douyou ซีอิ๊วดำ jiangyou และซีอิ๊วขาว jiangqing angmoh tauyew (อั่งม๊อ เต้ายิ้ว)เป็นชื่อจีนฮกเกี้ยนของ วูสเตอร์ซอส<br />
มาเลเซียมีวัฒนธรรมคล้ายอินโดฯ ใช้คำว่า kicap กับ ซีอิ๊ว โดยมี2แบบคือ<br />
<br />
<ul>
<li>Kicap lemak เหมือน manis แต่น้ำตาลน้อยกว่า</li>
<li>kicap cairเหมือน asin</li>
</ul>
<br />
<br />
<b>ฟิลิปินส์</b><br />
เรียกว่า toyo สีสันนั้นใกล้เคียงกับpatis(น้ำปลา)และsuka(น้ำส้มอ้อย) รสของมันมาจาก ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เกลือและคาราเมล ใสและเค็ม คล้ายโชยุ ใช้ตั้งแต่หมักยันปรุง โดยมักเสิร์ฟคู่กับ ส้มจี๊ด<br />
<br />
<b>ฮาวาย</b><br />
เอกลักษณ์คือ Aloha Shoyu Company since 1946 เป็นซีอิ๊วผสมพิเศษจาก ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เกลือ <br />
เกิดในช่วงที่คนญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ บางทีเรีัยกว่า show you แผลงจากคำว่า โชย<br />
<br />
<br />
<b>ซีอิ๊วในไทย</b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li><b>ซีอิ๊วขาว </b> บ้านเรานั้นผลิตซีอิ๊วใสกว่าชาวบ้าน อาจเพราะอากาศก็เป็นได้ทำให้สีของซีอิ๊วบ้านเราอ่อนกว่าของชาติอื่นๆเขา อาจเพราะบ้านเรายึดติดกับน้ำปลา จึงต้องทำสีให้ใกล้เคียง เมื่ออยู่ในตลาดโลก จึงอยู่ในตำแหน่ง thin soy sauce ส่วนซีอิ๊วขาวจีน อยู่ที่ regular soy sauce แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บ้านเราถึงว่าผลิตซีอิ๊วออกมาได้ไม่เลวทีเดียวหละ <br />โดยจำแนกตามสูตรได้ดังนั้น<br /><b>สูตรทอง </b>หัวซีอิ๊วทำจากถั่วเหลืองคุณภาพดีที่สุด หอมที่สุด สีเข้มที่สุด<br /><b>สูตร1 </b>หัวซีอิ๊ว กลิ่นรองลงมาแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก<br /><b>สูตร2</b> เอาสูตร1มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือฃ<br /><b>สูตร3</b> เอาสูตร1ผสมสูตร2มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือ<br /><b>สูตร4 </b>หางซีอิ๊ว เอาสูตร1(น้อย)ผสมสูตร2และสูตร3 มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือ<br />สูตร5 เอาหางซีอิ๊วมาผสมกับกากน้ำตาล แล้วปรุงรสเป็นซีอิ๊วดำชนิดหวานแบบใสๆ</li>
<li><b>ซีอิ๊วดำเค็ม/หน่ำเฮียง </b> เป็นสูตรของจีนทางใต้ กระบวนการผลิตยุ่งากโดยอาจไม่ใช้แป้งเลย ใช้ถั่วเหลืองหมักล้วนๆ หมัก2-6เดือน เมื่อเสร็จแล้วเอามาต้มเคี่ยวอย่างน้อย5ชั่วโมง อาจเติมเครื่องเทศต่างๆเช่น อบเชน ลูกจันทน์ โป่ยกั๊ก พริกไทยฯลฯ รสเค็มจัดเเละโปรตีนมากกว่าซีอิ๊วขาว บางโรงงานมักใช้กากซีอิ๊วมาผสมน้ำเกลือแต่งสี แล้วนำออกขาย</li>
<li><b>ซีอิ๊วดำหวาน</b> มักใช้ซีอิ๊วขาวมาผสมน้ำตาลให้หวานโดยมากมักใช้หางซีอิ๊วมาผสมกากน้ำตาลบางยี่ห้อจริงๆถึงใช้น้ำตาลทรายผสม ถือว่าเป็นเกรดดีโดยแบบชั้นเลวจะใช้น้ำเกลือผสมกากน้ำตาลแล้วแต่งสี รส กลิ่น เพื่อลดต้นทุน</li>
<li><b>จิ๊กโฉ่ว</b> ตามจริงแล้ว จิ๊กโฉ่วถือว่าเป็นน้ำส้มสายชูมากกว่าซีอิ๊วมักทำโดยการเอาซีอิ๊วขาวมาหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูประมาณ1เดือนแต่บ้านเรามีแบบชั้นเลวคือ จิ๊กโฉ่วปลอม ทำโดยการเอาซีอิ๊วผสมน้ำส้มสายชูเลย ซึ่งราคาจะถูกมาก พยามอย่าใช้</li>
<li><b>ซอสปรุงรส</b> จริงๆแล้วมันไม่ใช่ซีอิ๊ว แต่วัตถุดิบแทบจะไม่ต่างกันเลยโดยการใช้วิธีหมักแบบกึ่งเคมี คือเอากรดเกลืออ่อนๆมาช่วยเร่งการสลายโปรตีน แล้วปรับสภาพให้เป็นกลาง แต่งกลิ่น/รส ซึ่งบ้านเรามักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซีอิ๊ว จริงๆแล้วสี รสและกลิ่นจะคนละอย่างกันเลย</li>
</ul>
<br />
<br />
<b>ประวัติซอสปรุงรสของทางฝรั่งนั้น</b> เกิดจากนาง จูเลียส แมกกี้ ได้อยากให้คนงานทั่วไปได้รับสารอาหารจากผักมากขึ้นจึงงใช้โรงงานที่บ้านตัวเองพัฒนาสูตรซุปผักขึ้นมา ซึ่งภายหลังได้รับความนิยมมาก และกลายเป็นซอสปรุงรสยี่ห้อ"แมกกี้" ที่รู้จักไปทั่วโลก จะว่าไปซอสตระกูลนี้จะมีกลิ่นยีสต์ค่อนข้างแรง ใครเคยกิน เวจจี้ไมท์/มาร์ไมท์ ของออสเตรเลียฯจะรู้สึกได้ว่ารสมันคล้ายๆกัน<br />
<br />
โดยซอสปรุงรสบ้านเราเรียกว่า ซอสภูเขาทอง รสเหมือนแมกกี้ โดยแบ่งเกรดตามสีฝา เรียงจาก เหลือง แดง เขียว น้ำตาล ซึ่ง<br />
ฝาเหลืองจะใช้ถั่วเหลืองที่มีปริมาณโปรตีนมากที่สุด <br />
ส่วนอีก3ฝา จะใช้ถั่วเกรดเดียวกันแต่ปริมาณของถั่วต่างกัน<br />
<div>
<br /></div>
<div>
เนื้อหาจาก น้าบัง<br />
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/12/D7327782/D7327782.html</div>
<div>
<br /></div>
<div>
รูปจาก<br />
http://www.chinesetimeschool.com/th-th/articles/preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce/</div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-68668251433966547972018-11-19T21:40:00.000-08:002018-11-20T20:13:54.833-08:00มหัศจรรย์ "เอนไซม์" มนุษย์อาจอายุยืนได้ถึง 120 ปี<b>ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอเพียง มนุษย์อาจอายุยืนถึง 120 ปีได้</b> เพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกาชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme level) โอกาสที่ท่านจะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เกิดได้ง่ายมาก ดร.ฮัมบาท แซนติลโล ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "เอนไซม์ในอาหาร" (Food Enzyme) โดยอ้างอิงจากวารสารการแพทย์ของประเทศสกอตแลนด์มีความตอนหนึ่งว่า คนเราแต่ละคนหรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ควรจะพิจารณาว่าแท้ที่จริงสุขภาพ (Health) ของเขาคือปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้ทุกเซลล์ของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุข<br /><br /><br /> นั่นเป็นข้อความหนึ่งจากหนังสือ "เอนไซม์ กุญแจแห่งชีวิต" เขียนและรวบรวมโดย ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์<br /><br /><br /> หลายคนอาสงสัยว่า เอนไซม์ คืออะไร? แล้วคำถามต่อมาก็คือเราจะมีเอนไซม์ที่มากพอได้ด้วยวิธีใด?<br /><br /><br /> เอนไซม์ คือโปรตีนที่มีลักษณะเป็นก้อน รูปร่างของโปรตีนจะเป็น กรดอะมิโน ต่อกันเป็นสายยาวๆ มีคุณสมบัติเร่งปฏิกิริยาเคมีที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต ทุกๆเซลล์ของร่างกายซึ่งมีรวมกว่า 60 ล้านเซลล์ ถ้าไม่มีเอนไซม์ ร่างกายก็จะไม่มีการหายใจ ปราศจากการย่อยอาหาร ไม่มีการเจริญเติบโตของร่างกาย การคิดและแม้แต่การนอนก็ต้องใช้เอนไซม์ ดังนั้นถ้ามนุษย์ขาดเอนไซม์ ชีวิตย่อมอยู่ไม่ได้ <br /><br /><br /> เอนไซม์สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ<br /><br /><br /><b> 1. เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) </b>จะพบได้ในอาหารดิบทุกชนิดถ้ามาจากพืชและสัตว์ แต่ถ้าอาหารนำมาปรุงแต่งโดยใช้ความร้อน เช่น ต้ม ปิ้ง จะทำลายเอนไซม์ในอาหารได้โดยง่าย เอนไซม์จะช่วยย่อยหารที่เรากินเข้าไป ความร้อนที่สูงเกินกว่า 47 องศาเซลเซียส จะทำลายเอนไซม์ ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็จะเป็นอาหารที่ตายซากแล้ว<br /><br /><br /> แต่ใครจะรับประทานอาหารที่ใช้ความร้อนต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อสัตว์ ดังนั้นส่วนใหญ่อาหารที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยไม่ผ่านความร้อนถึง 47 องศาเซลเซียส ก็น่าจะมาจากพืช ผัก ผลไม้เป็นหลักเท่านั้น ถ้าจะมีเนื้อสัตว์ที่มนุษย์จะนิยมรับประทานกันโดยไม่ผ่านอุณภูมิความร้อนกเกินกว่า 47 องศาเซลเซียส ได้ก็น่าจะอยู่เฉพาะใน "ปลาดิบ"เท่านั้น<br /><br /><br /> เช่นเดียวกันอาหารเสริมที่บางคนแอบอ้างว่าเป็นเอนไซม์ ถ้าเป็นกระบวนการทางอุตสาหกรรมและผ่านความร้อนเอนไซม์เหล่านั้นก็ถือว่าถูกทำลายไปหมดแล้วเช่นกัน<br /><br /><br /><b> 2. เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) </b>เป็นเอนไซม์ที่มาจากร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตออกมาจากตับอ่อน (Pancreas) เพื่อใช้ย่อยอาหารและดูดซึมอาหารที่เรากินเข้าไป ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า<br /><br /><br /><b> 3. เอนไซม์จากจุลินทรีย์ (Microorganism Enzyme)</b>ซึ่งจุลินทรีย์สามารถผลิตเอนไซม์ปริมาณมากๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะจุลินทรีย์เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดเล็ก ในการนี้ควรจะต้องมีการคัดสายพันธุ์เพื่อให้เหมาะสมกับเอนไซม์ที่ได้ด้วย<br /><br /><br /><b> 4. เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic Enzyme)</b> เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อการเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน สร้างความเจริญเติบโต ตลอดจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์ตัวนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี<br /><br /><br /> ความจริงแล้ว เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) กับ เอนไซม์ย่อยอาหาร เอนไซม์ที่ได้จากจุลินทรีย์ (Microorganism Enzyme) ก็มีทุกอย่างเหมือนกับ เอนไซม์ที่ผลิตจากร่างกาย (Digestive Enzyme) เพียงแต่จากต่างกันที่แหล่งที่มาเท่านั้น<br /><br /><br /> นอกจากนี้ถ้าเรากินอาหารที่ไม่ดีหรือมีเอนไซม์น้อย เช่น รับประทานเนื้อสัตว์ย่างหรือทอดมากๆ ร่างกายก็ต้องใช้เอนไซม์ในร่างกายเพื่อย่อยอาหารอย่างหนัก เมื่อไม่เพียงพอก็ต้องนำเอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงานมาใช้ร่วมด้วย เมื่อใช้งานหนักมากขึ้นไปเรื่อยๆ การเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานก็จะเสื่อมลง ภูมิต้านทานและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะเสื่อมลง ทำให้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังได้ง่ายขึ้น <br /><br /><br /> ปัจจุบันนักชีวเคมีเชื่อว่ามีเอนไซม์มากกว่า 80,000 ชนิด เอามาใช้ทั้งในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เช่น อะไมเลส (มีในน้ำลาย) สามารถย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลใช้สำหรับผลิตเบียร์ น้ำเชื่อม, อินเวอร์เทส ย่อยซูโคสให้เป็นกลูโคสและฟรุกโตส ใช้ผสมในลูกกวาด, ไลเปส ใช้สำหรับย่อยไขมัน, เซลลูเลส ใช้สำหรับย่อยเส้นใยพืช, แลคเตส ย่อยแล็กโตสให้เป็นกาแล็กโตสและกลูโคส ใช้สำหรับลดน้ำตาลแลคโตสในนม ใช้ผลิตนมเปรี้ยว และ ป้องกันการตกผลึกของแล็กโตสในไอศครีม, แต่ในทางการแพทย์เพิ่งจะให้ความสนใจมากกว่าการย่อยอาหารมาประมาณ 20 ปีมานี้ แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สังเคราะห์เอนไซม์เหล่านี้ได้เอง แต่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีววิทยาได้ก้าวหน้าไปถึงการสกัดเอนไซม์ออกมากจากพืชเพื่อนำไปใช้ทางการแพทย์โดยเฉพาะ รวมไปถึงแม้กระทั่งการนำมาใช้กับแผลคนที่ถูกไฟไหม้ให้มีสภาพเนื้อเยื่อกลับมาเหมือนเดิม เป็นต้น <br /><br /><br /> คนไทยอาจจะมีความคุ้นเคยหน่อยกับจุลินทรีย์ใน "นมเปรี้ยว"ที่เรียกว่า "แลคโตบาซิลลัส" ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เลี้ยงเอาไว้ช่วยย่อยสลายน้ำตาลแลคโตสในการหมักนมแล้วได้เอนไซม์ที่ชื่อว่า แลคเตส เพิ่มเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งผู้บริโภคก็จะเพิ่มทั้งแบคทีเรียและเอนไซม์เข้าไปในร่างกายที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายด้วยในเวลาเดียวกัน เพียงแต่อาจจะต้องเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเหมาะกับเคซีนซึ่งเป็นโปรตีนในนม<br /><br /><br /> ส่วนการ "หมัก" พืช ผัก ผลไม้ ที่กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายอยู่ในเมืองไทยนั้น ย่อมทำให้เกิดเอนไซม์ได้อย่างแน่นอน และหลายคนดื่มแล้วก็รู้สึกสุขภาพดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ข้อเสียจะอยู่ที่ว่าคนไทยที่มีองค์ความรู้ส่วนใหญ่ในการหมัก มักจะไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า จุลินทรีย์ที่ใช้สำหรับหมักนั้นมีชื่อว่าอะไรและจะผลิตเอนไซม์ชนิดไหนออกมา และไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นโทษต่อร่างกายด้วยหรือไม่ ผลก็คือกระทรวงสาธารณสุขก็ไล่ตามจับและไม่ได้วิจัยค้นคว้าหาข้อเท็จจริง แต่ในขณะที่ผู้ผลิตบางคนก็โฆษณาสรรพคุณเกินความเป็นจริง ทำให้เอนไซม์ที่ได้จากการหมักพืช ผัก ผลไม้ในเมืองไทยส่วนใหญ่ กลายเป็นของเถื่อนที่ไม่มีการพัฒนาและไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ทั้งๆที่บ้านเมืองเราเป็นแหล่งผลิตพืช ผัก ผลไม้ ที่ดีแห่งหนึ่งของโลก<br /><br /><br /> ในโอกาสนี้จึงขอยกตัวอย่างงานวิจัยที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในวงจำกัดอย่างน่าเสียดาย และไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่เพื่อพัฒนาเรื่องเอนไซม์ในประเทศไทย ได้แก่การผลงานการศึกษาของ ศิริพร ตันจอ จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เขียนเรื่อง "การเตรียมและประกอบอาหาร เพื่อการปรับปรุงคุณภาพของสารอาหารในถั่วเมล็ดแห้ง" ลงในวารสารโภชนาการ ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ได้เขียนเอาไว้ในงานวิจัยเกี่ยวกับ "การหมักถั่ว" พบผลการศึกษาบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้<br /><br /><br /> 1. การหมัก ช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยของโปรตีนได้ดีในถั่วเมล็ดแห้ง ได้แก่ ถั่วเขียว และถั่วเหลือง การหมักถั่วเหลืองจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่า "ถั่วเน่า" พบโปรตีนถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ร่างกายนำไปใช้ได้ง่ายชึ้น หรือการหมักถั่วแดง ด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.Lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากเพาะงอกนาน 6 ชั่วโมง พบปริมาณไขมันลดลง 20-30 เปอร์เซนต์ คาร์โปไฮเดรตลดลง 10 เปอร์เซนต์ เถ้าลดลง 5-30 เปอร์เซนต์ และใยอาหารลดลง 30 - 65 เปอร์เซนต์<br /><br /><br /> 2. การหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์สามารถผลิตสารสำคัญ ได้แก่ เอนไซม์ไฟเตส ย่อยสลายสารไฟเตทให้มีปริมาณลดลงมากว่า 90 เปอร์เซนต์ และสร้างกรดอินทรีย์ต่างๆ ช่วยเพิ่มความสามารถในละลายและการดูดซึมเหล็กและสังกะสี จากการหมักถั่วแดงด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.Lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากเพาะงอก 6 ชั่วโมง จะช่วยลดปริมาณสารประกอบไฟเตทได้อีก 75 เปอร์เซนต์ ปริมาณไฟเตทที่ลดลงจึงมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมได้ทั้งสังกะสีและเหล็กโดยเฉพาะธาตุเหล็ก<br /><br /><br /> 3. การหมักมีผลต่อโครงสร้างของไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารประกอบฟีนอลิกซึ่งพบในถั่วเมล็ดแห้ง โดยเฉพาะถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) จะอยู่ในรูปสารประกอบ glycosides โดยต้องเปลี่ยนรูปเป็น aglycones ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งโดยปกติร่างกายสามารถเปลี่ยนไอโซฟลาโวนเป็นรูป aglycones ได้เล็กน้อยจากน้ำลายของมนุษย์ ก่อนถูกดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก และอาศัยแบคทีเรียในลำไส้มนุษย์ผลิตเอนไซม์ Beta-glucosidase ใช้ในการเปลี่ยนรูป จากการศึกษาพบว่า การหมักจะช่วยผลิตเอนไซม์ B-glucosidase มีผลทำให้ปริมาณ aglycones ในอาหารสูงขึ้น การหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus acidophilus และ Bifidobacterium longum พบปริมาณของไอโซฟลาโวน ชนิด glycones เพิ่มขึ้นเช่นกัน และการหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อ Lactobacillus sp. ปริมาณ daidzein และ genistein เพิ่มขึ้น 30-40 เท่า<br /><br /><br /> 4. การหมักถั่วแดง ด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังเพาะงอกงาน 6 ชั่วโมง พบสาร GABA เพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซนต์ และสารประกอบฟีนอลิกเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์ และปริมาณวิตามินบี 1 เพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์ <br /><br /><br /> จากการศึกษาและวิจัยชิ้นนี้ย่อมแสดงว่า "การหมักอย่างถูกวิธี" เป็นหนทางหนึ่งทำให้เกิดการเพิ่มเอนไซม์และเพิ่มคุณค่าจากอาหารได้จริง !!!<br /><br />สรุปความลับของ “เอนไซม์” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นมีอยู่ว่า <br /> <br /> 1.ร่างกายเรามีเอนไซม์อยู่จำกัด ถ้าเรากินอาหารไม่ดีหรือสร้างเอนไซม์ได้น้อย เราก็<br /> ต้องสูญเสียเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) ไปมากขึ้น และถ้าเรามีเอนไซม์สำหรับการย่อยไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะใช้เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Matabolic Enzyme)มาช่วยในการย่อยต่อ<br /> <br /> เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ถ้ามีน้อยลงไปตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายเราก็จะผลิตเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายลดลง การเร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงานก็เสื่อมลง การสร้างภูมิต้านทานน้อยลง ความสามารถในการสร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆก็ด้อยลงไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยลงของมนุษย์ในแทบทุกโรค<br /> <br /> 2.ความลับของเอนไซม์มีอยู่ที่ว่า เอนไซม์มีในอาหารทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ แต่เอนไซม์<br /> ที่ได้จากอาหารจะเสื่อมคุณภาพจนถึงใช้การไม่ได้ถาวรทันทีเมื่อเจออุณหภูมิสูงกว่า 47 องศาเซลเซียส ทีนี้เมื่อมาทบทวนดูว่าเราได้รับประทานอาหารอะไรบ้างที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสบ้าง ก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากมาก<br /> <br /> เนื้อสัตว์เราแทบจะไม่สามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้เลย เพราะอาจจะเจอพยาธิหรือโรคอื่นๆที่ติดมากับเนื้อสัตว์นั้นๆ ในขณะที่การรับประทานผักส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็มักจะผ่านความร้อนทั้งการต้ม การผัด การทอด ฯลฯ ดังนั้นแม้เราจะได้สารอาหารจากอาหารเหล่านี้แต่เราจะไม่ได้ “เอนไซม์จากผัก”ในลักษณะแบบนี้ได้อีกเช่นกัน คงเหลือแต่ผักและผลไม้แบบดิบๆ (เช่น ผักสลัด)หรือผ่านความร้อนที่อุณหภูมิต่ำๆ ที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยที่ยังคงเพิ่มเอนไซม์ในร่างกายได้เท่านั้น<br /> <br /> คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเราได้ทบทวนการกินอาหารแล้วในยุคปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับเอนไซม์ที่มาจาก “อาหารที่เป็นผักดิบและผลไม้สด” น้อยกว่า “อาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว”ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) และ เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) อยู่ตลอดเวลา มนุษย์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในภาวะ “มีเอนไซม์ขาเข้าร่างกายน้อยลงทุกวัน แต่มีขาออกจากร่างกายเพิ่มมากทุกวัน” !!! <br /> <br /> มนุษย์ส่วนใหญ่แทบทุกคนเมื่ออายุมากขึ้นระบบการย่อยและการขับถ่ายจึงเสื่อมลงแทบทุกคน ภูมิคุ้มกันลดลง การซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอจึงลดลงตามลงไปด้วย ทั้งหมดเพราะกินไม่ดีจึงสูญเสียเอนไซม์ลงไปทุกวัน<br /> <br /> ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีเอนไซม์จากอาหารมากเพียงพอ เราจะสิ้นเปลืองเอนไซม์จากการย่อยอาหารน้อยลงไป (Digestive Enzyme) ส่งผลทำให้เราสิ้นเปลืองเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme)น้อยตามลงไปด้วย <br /> <br /> “นายลี ชิง ยุน” ชาวจีนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกคือ 256 ปี และรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเดียวและอาหารสดจำนวนมากทั้งจากผักและผลไม้สด ซึ่งหมายถึงเขามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) คอยเพิ่มเข้ามาในร่างกายอยู่ตลอดเวลา<br /> <br /> คำถามย่อมมีอยู่ว่าหลายคนที่อายุมากและสูญเสียเอนไซม์จากการย่อย และเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหารไปแล้ว แต่อยากจะเริ่มรับประทานอาหารผักและผลไม้แบบสดๆ จะรับประทานได้มากพอจริงหรือไม่เพื่อให้มีเอนไซม์ที่หลากหลายให้ใกล้เคียงกับเอนไซม์ทุกชนิดตามที่ร่างกายสูญเสียไปได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ “ไม่ใช่เรื่องง่าย”<br /> <br /> ยกตัวอย่างเช่น เอนไซม์ที่มีชื่อว่า “ปาเปน”(Papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตได้จาก “มะละกอ”ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายโปรตีนให้เล็กจนเท่ากรดอะมิโน (Amino Acid) หรือเอนไซม์ “บรอมมิเลน”(Bromelain) เป็นเอนไซม์อีกประเภทที่ช่วยย่อยโปรตีน ได้มาจาก “แกนของสับปะรด” ก็ล้วนเป็นเอนไซม์จากอาหารที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนทั้งสิ้น และอาหารทั้งคู่ก็จัดอยู่ในหมวด “อาหารฤทธิ์ด่าง”<br /> <br /> ถ้าเรามีเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีนมากพอก็จะสามารถป้องกันได้หลายโรค เพราะถ้าเอนไซม์ย่อยโปรตีนมีไม่มากพอหรือลดน้อยเสื่อมลงไป โปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ก็จะรั่วซึมเข้ามาในระบบเลือด และกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายคิดว่าเป็นศัตรู จึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเฉพาะทำลายจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆขึ้น เช่น การแพ้อาหาร โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ<br /> <br /> แต่เราทำร้ายตัวเองยิ่งไปกว่านั้นโดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำ เพราะยาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติเป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หรือไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มออกไปได้เพราะไม่สามารถสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายตายไปด้วย ส่งผลทำให้เอนไซม์ที่จะได้จากแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไปอีก จึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จำนวนมามักจะมีประวัติรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องมาก่อน<br /> <br /> ความจริงแล้วเราสามารถกินอาหารที่เลือกเอนไซม์ได้เป็นอย่างๆเท่านั้น ไม่สามารถกินอาหารได้เอนไซม์ครบทุกอย่างตามที่เราขาดไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาในสิ่งที่ขาดหรือสิ่งที่เราต้องการย่อยอาหารได้<br /> <br /> แม้กระทั่งหลักสูตรล้างพิษตับ ซึ่งมีการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากก็เพื่อเร่งให้ตับและถุงน้ำดีเร่งขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมากและนำสิ่งตกค้างออกมาจากตับและถุงน้ำดีด้วย เพราะน้ำดีเป็นด่างไบคาร์บอเนต (pH 7.5-8.8) และเอนไซม์ไลเปสซึ่งผลิตมาจากตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่ย่อยน้ำมันมะกอกจะทำงานในการย่อยได้ในสภาวะความเป็นด่าง ดังนั้นแม้จะเป็นข่าวดีที่เราได้ขับของเสียออกจากตับและถุงน้ำดีเพราะการขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเราได้สูญเสียเอนไซม์ไลเปสเพื่อมาย่อยน้ำมันมะกอกด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลักสูตรล้างพิษตับจึงจำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้าพอสมควรเพื่องดการใช้เอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน และหลังหลักสูตรล้างพิษก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่เพิ่มปริมาณเอนไซม์ไลเปส ซึ่งเอนไซม์ไลเปสสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อพืช ผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโอ๊ต รำข้าว ถั่วเหลือง ฯลฯ<br /> <br /> แต่ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในด้านการหมัก เราจึงมีโอกาสที่จะนำพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช มารวมกันและหมักเพื่อให้เร่งและเพิ่มปริมาณเอนไซม์ที่หลากหลายที่สุดสำหรับการบริโภค เพราะองค์ความรู้ที่ว่าการหมักนั้นสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทำให้ย่อยและดูดซึมง่าย และเพิ่มปริมาณเอนไซม์ และหากหมักด้วยกรรมวิธีและการควบคุมที่ดีเราก็จะได้แบคทีเรียและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้ด้วย<br /> <br /> การหมักที่ดีควรจะรู้ว่า “หัวเชื้อ”ที่เป็นจุลินทรีย์เรานำมาใช้นั้นคืออะไร และมีวัตถุประสงค์อะไร และระบบการหมักสามารถควบคุมไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์แปลกปลอมเข้ามาในการหมักได้มากแค่ไหน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้แต่จุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ดีและได้มาตรฐานจากการหมัก แต่อย่างน้อยเราน่าจะมีข่าวดีอยู่ที่ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ปราชญ์คนหนึ่งแห่งศีรษะอโศก ได้แจ้งว่าเมื่อส่องกล้องในระหว่างการหมักในภาวะความเป็นกรดจะพบว่าแบคทีเรียจะเหลือแต่เพียงตระกูลบาซิลลัสเท่านั้น ส่วนเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้ตายหมดไปแล้ว ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลให้อาหารกับแบคทีเรียที่ดีขยายตัวเติบโตต่อไปในน้ำหมักต่อไป <br /> <br /> ส่วนที่บางคนกังวลเรื่องน้ำตาลในน้ำหมักจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าในโอกาสนี้ว่าผู้เชี่ยวชาญและส่งออกน้ำเอนไซม์รายใหญ่ที่สุดของโลกจากไต้หวันได้ให้ความรู้กับเราว่าน้ำตาลในน้ำหมักที่กินเข้าไปอาจทำน้ำตาลในเลือดช่วงแรกเพิ่มขึ้นแต่เมื่อและจุลินทรีย์และเอนไซม์มีมากพอจากน้ำหมักมีมากแล้ว เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ก็จะทำงานดีขึ้นทำให้การเผาผลาญน้ำตาลในเลือดดีขึ้นและทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงในเวลาต่อมา <br /> <br /> ส่วนที่บางคนมีความกังวลว่า น้ำหมักเมื่อวัดค่า pH แล้วจะเป็นกรดอย่างแรงจะทำให้เสีย<br /> สมดุลกรด-ด่างหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอนไซม์จากไต้หวันให้ความรู้เราเพิ่มเติมว่า กรดที่เกิดในน้ำหมักที่ได้จากพืช ผัก ผลไม้ที่ออกฤทธิ์เป็นด่างเมื่อย่อยสลายในร่างกายแล้วก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฤทธิ์ด่างในท้ายที่สุดเช่นกัน<br /> <br /> สุดท้ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเอนไซม์จากน้ำหมักจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ เพราะอาจถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายหมดหรือไม่ ในเรื่องนี้ได้ปรากฏมีบทความของนักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านโภชนาการและเอนไซม์คนหนึ่งชื่อ ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส (Dr.Viktoras Kulvinskas) ได้เขียนเอาไว้ว่า <br /> <br /> “ประมาณการว่าร้อยละ 80 ของโรคมีต้นเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และก่อให้เกิดการเน่าเสียและสารพิษเหล่านี้ซึมเข้าไปในร่างกาย” <br /> <br /> ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส มีงานวิจัยด้านโภชนาการเอนไซม์ที่แสดงว่า กรดในกระเพาะอาหารที่ดูเหมือนว่าจะหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ได้จากอาหาร แต่เมื่อเอนไซม์เดินทางมาถึงลำไส้เล็กแล้วก็จะกลับตื่นฟื้นขึ้นมาทำงานได้อีกครั้งตามปกติในสภาพวะความเป็นด่าง<br /> <br /> ถึงเวลาที่ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใกล้บนเส้นศูนย์สูตร มีพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่หลากหลายที่สุดในโลก ควรก้าวไปข้างหน้ากับการวิจัย เผยแพร่ และ ขยายผลทางวิชาการนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศในด้านเอนไซม์ในระดับโลกได้แล้ว !!!<br /><br />ข้องมูลดีๆจาก : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์<br /><br />https://amp.mgronline.com/home/9560000032216.html<br />https://mgronline.com/daily/detail/9560000029053Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-35611598649032584522018-10-09T01:21:00.001-07:002018-11-20T20:19:10.360-08:00ปูนขาวไลม์ ไฮเดรตไลม์ ฉาบบ้านดิน<b>ปูนขาว ไลม์ (lime)</b> มีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) และมีสูตรทางเคมีคือ CaO ลักษณะโดยทั่วไปเป็นผงสีขาว มีฤทธิ์เป็นด่าง กัดกร่อนได้ โดยปกติแล้วจะผลิตแคลเซียมออกไซด์, CaO จากการเผาวัสดุใดๆ ที่มีส่วนผสมของหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต, CaCO3) เป็นองค์ประกอบ ณ อุณหภูมิมากกว่า 825 องศาเซลเซียส เรียกกระบวนการเผานี้ว่า calcination และจะมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ออกมา ปูนขาวนี้ สามารถทำปฏิกิริยากับ CO2 ที่อยู่ในอากาศ โดยอาศัยระยะเวลาที่นานพอ กลับกลายเป็น CaCO3 ได้ ดังนั้นการเก็บรักษาต้องระวังไม่ให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในภาชนะที่ใช้จัดเก็บได้<br /><br /><br /><div style="text-align: center;">
<b>สมการแสดงปฏิกิริยา calcination หินปูน</b></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-weight: 700;"><br /></span></div>
<span style="font-weight: bold;"><div style="text-align: center;">
CaCO3 (s) ð CaO (s) + CO2 (g)</div>
</span><br />โดยทั่วไปราคาของปูนขาวเมื่อเทียบกับสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือว่ามีราคาไม่แพงมากนัก แต่สามารถใช้เป็นสารตั้งต้นเพื่อผลิตสารเคมีชนิดอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น การผลิต แคลเซียมไฮดรอกไซด์, Ca(OH)2 จากการนำปูนขาวทำปฏิกิริยากับน้ำ<br /><br /><div style="text-align: center;">
<b>CaO (s) + H2O (l) Ca(OH)2 (aq) (ΔHr = −63.7 kJ/mol of CaO)</b></div>
<br />นอกจากจะได้ Ca(OH)2 เป็นผลิตภัณฑ์แล้ว ปฏิกิริยานี้ยังให้ความร้อนออกมาค่อนข้างมากถึง -63.7 kJ/mol ทำให้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแหล่งกำเนิดความร้อนแบบพกพาได้อีกด้วย ในทางกลับกันเมื่อเผา Ca(OH)2 ที่อุณหภูมิ 512 องศาเซลเซียส ก็จะได้ CaO กลับคืนมาดังสมการ<br /><br /><div style="text-align: center;">
<b>Ca(OH)2 → CaO + H2O</b></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
ปูนขาวมีประวัติศาสตร์การใช้สอยมาอย่างยาวนาน มีบันทึกการใช้ปูนขาวในการฉาบภายนอกอาคารในประเทศตุรกีตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 6,000 ปีก่อน ชาวโรมันเองก็ใช้ปูนขาวในการก่อและฉาบอาคาร ในพื้นที่หนาวและชื้นดังเช่นพื้นที่แถบประเทศสกอตแลนด์และเวลส์ก็มีการฉาบปูนขาวบนอาคารที่สร้างจากหินเพื่อป้องกันดินก่อจากสภาพอากาศและฝนที่รุนแรง โดยใช้วิธีการแบบโบราณคือการปาดินฉาบเข้าใส่ผนังเพื่อป้องกันการแตกร้าว ซึ่งจะทำให้น้ำไปทำลายรอยต่อของผนังหิน<br /><br />ถึงแม้ว่าจะมีการใช้ปูนขาวมาอย่างยาวนานทั่วโลก แต่สำหรับพื้นที่แถบอเมริกาเหนือในปัจจุบัน การฉาบอาคารด้วยปูนขาวเริ่มสูญหายไปจากการรับรู้ของคน เรื่องมาจาการใช้คอนกรีตฉาบกันอย่างกว้างขวาง แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ปูนขาวก็เริ่มที่จะได้รับความนิยมจากผู้สร้างบ้านธรรมชาติที่ต้องการวัสดุที่แข็งแรงทนทานแสะกันน้ำได้<br /><br />ในบทนี้เราจะเข้าไปสำรวจโลกของปูนขาว, การใช้งาน, วิธีการทำ, วิธีการนำไปใช้ และข้อดีข้อเสียของมัน เพื่อประกอบการตัดสินใจในการที่จะเลือกใช้วัสดุที่มหัศจรรย์แต่ค่อนข้างจะใช้ยากนี้ แม้ว่าเราจะพยายามครอบคลุมทุกประเด็น แต่เราก็ขอแนะนำให้คุณอ่านและศึกษาเพิ่มเติม และแนะนำให้คุณเข้าร่วมการอบรม พยายามศึกษาเท่าที่คุณจะทำได้ ทดลอง และเลือกระบบของปูนขาวที่เหมาะสมกับโครงการของคุณมากที่สุด<br /><br /><b>ทำความเข้าใจปูนขาว</b><br /><br />ปูนขาวที่ใช้ในการฉาบประกอบด้วยส่วนผสมของปูนขาวกับทราย แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นวัสดุธรรมชาติ แต่ความจริงแล้วเราไม่สามารถพบมันได้ในธรรมชาติ ปูนขาวนั้นผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่มากมายในธรรมชาติ นั่นคือปูนขาว โดยผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานพอสมควร<br /><br /><br />อย่างที่คุณอาจจะรู้แล้ว หินปูนนั้นเป็นหินตะกอนที่ถูกทับถมและผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายผ่านระยะเวลาอันยาวนาน หินปูนส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืชและสัตว์น้ำ เพื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ตายและทับถมอยู่บนพื้นมหาสมุทร เมื่อผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ซากเหล่านั้นก็ย่อยสลายจนเกิดเป็นชั้นดินเลนหนาซึ่งเต็มไปด้วยธาตุแคลเซียม หรือที่เราเรียกว่า แคลเซียมคาร์บอเนต<br /><br /><br />ในขณะที่แคลเซียมคาร์บอเนตกำลังสะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทร แมกนีเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลก็ถูกดึงเข้ามาผสม ปริมาณของแมกนีเซียมคาร์บอเนตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดหินปูนที่ต่างกัน ๓ ประเภท ซึ่งจำแนกประเภทตามปริมาณของแมกนีเซียมคาร์บอเนต<br /><br /><br />เมื่อผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ชั้นดินเลนของแคลเซียมซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตในอัตราส่วนที่ต่างกันก็รวมตัวกันเป็นหินปูน ชั้นหินปูนเหล่านี้ได้ถูกกลบทับด้วยตะกอนอื่น ๆ ผ่านระยะเวลาอันยาวนานทางธรณีวิทยา พื้นมหาสมุทรบางส่วนได้กลับมาอยู่บนพื้นแผ่นดิน และพื้นที่เหล่านี้แหละที่กลายมาเป็นเหมืองหินปูนที่นำมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งการใช้ในการก่อสร้าง<br /><br /><br />หินปูนได้ถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายทั่วโลก ในหลาย ๆ วัฒนธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้หินปูนอย่างแพร่หลายทั่วโลกตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ หินปูนจะถูกสกัดออกจากเหมืองแบบเปิด ผ่านการบดอัน และผ่านความร้อนในเตาซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 2000 องศาฟาเรนไฮต์ นี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมปูนขาวถึงได้ทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าดินฉาบ เมื่อหินปูนถูกเผา ความร้อนจะขับเอาคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำออก และเปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอเนต และแมกนีเซียมคาร์บอเนตให้กลายเป็นแคลเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมออกไซด์ ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อปูนขาว<br /><br /><br />ในการทำปูนขาวสำหรับฉาบ เราต้องนำปูนขาวที่ซื้อมาจากร้านในรูปของผงแป้งมาแช่น้ำเสียก่อน ในกระบวนการนี้ แคลเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับน้ำจนเกิดเป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ และแมกนีเซียมไฮตรอกไซด์ ความร้อนจำนวนมากจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมี ผลของมันจะทำให้เกิดส่วนผสมที่นุ่มเหนียวมีลักษณะคล้ายปูนโป้ว ซึ่งเป็นส่วนผสม<br /><br /><br /><div style="text-align: center;">
<b>หลักของปูนขาวที่เราจะนำมาฉาบ</b></div>
<br />ปูนขาวที่ผสมน้ำนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีจนเสร็จสิ้น ก่อนที่จะนำมาผสมทรายเพื่อทำปูนฉาบ แม้ว่าโดยกระบวนการจะใช้เวลาแค่ ๒ - ๓ เดือนก่อนที่จะนำมาใช้ แต่การทิ้งไว้เกิน ๒ ปีน่าจะดีกว่า ในยุคสมัยที่ผู้คนไม่ได้มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้ การแช่น้ำทิ้งไว้ ๕ ปีดูจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม ในวัฒนธรรมที่ยังคงใช้ปูนขาวในการฉาบอาคารยังเชื่อว่ายิ่งแช่น้ำไว้นานเท่าไหร่เราก็จะได้ปูนโป้วที่ดีขึ้นเท่านั้น เพราะจะช่วยให้ปูนขาวทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ปูนโป้วนั้นละเอียดและง่ายต่อการฉาบ ที่สำคัญคือช่วยลดความเสียหายหลังจากการฉาบ เพราะวัสดุที่ไม่ได้ทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างสมบูรณ์ มันอาจไปทำปฏิกิริยากับน้ำขณะอยู่บนผนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการกระเทาะเป็นรูเล็ก ๆ บนพื้นผิวผนัง<br /><br />หลังจากที่ปูนขาวได้ทำปฏิกิริยากับน้ำเรียบร้อยแล้ว เนาจึงนำมาผสมกับทรายเพื่อทำเป็นปูนขาวฉาบลงบนผนัง เมื่อถึงจุดนี้ แคลเซียมไฮดรอกไซด์จะเริ่มทำปฏิกิริยาทางเคมีอีกครั้งกับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะทำให้มันค่อย ๆ กลับคืนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต กลายเป็นหินปูน ซึ่งสามารถคงทนอยู่ได้เป็นร้อยหรือพันปี<br /><br />ปูนขาวฉาบนี้สามารถที่จะใช้ได้ในอาคารธรรมชาติทุกประเภท ทั้งอาคารแบบก้อนฟาง ดินปั้น อิฐดินดิบ โดยอาจจะฉาบลงบนผนังโดยตรง หรือฉาบทับดินฉาบอีกครั้งหนึ่ง แต่ทำไมเราถึงเลือกใช้ปูนขาวฉาบล่ะ<br /><br /><div style="text-align: left;">
<b>ทำไมถึงเลือกใช้ปูนขาวฉาบ</b></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
มีการใช้ปูนขาวฉาบทั้งภายในและภายนอกอาคาร แต่มันจะสมประโยชน์กับภายนอกอาคารที่ต้องการการป้องกันจากสภาพอากาศเป็นพิเศษมากกว่า โดยเฉพาะความสามารถในการกันฝน อาคารแบบดินปั้นหลายหลังแถบทางใต้ของประเทศอังกฏษก็ได้รับการป้องกันจากปูนขาวฉาบนี้ ปูนขาวฉาบนี้สามารถผสมผงสีได้<br /><br /> ผนังปูนขาวฉาบนี้น้ำสามารถซึมผ่านได้ หรือ "หายใจได้" เพื่อช่วยให้ความชื้นจากผนังสามารถที่จะผ่านผนังออกไปได้ และปูนขาวฉาบนี้ไม่มีลักษณะอมน้ำเหมือนกันปูน(ซีเมนต์)ฉาบทั่วไป หรืออาจจะพูดอีกอย่างว่า ปูนขาวฉาบนี้จะไม่ดูดเอาความชื้นจากภายนอกเข้าไปที่ผนังดิน<br /><br /> ข้อดีอีกอย่างของมันคือความคงทน ปูนขาวฉาบมีความแข็งแรงมากและสามารถคงทนอยู่ได้เป็นร้อยปี นอกเหนือจากนั้นมันยังมีความอ่อนตัว ทำให้มันไม่แตกร้าวมากเมื่อดินขยายหรือหดตัวเมื่ออุณหภูมิหรือความชื้นเปลี่ยนแปลง (ในปูนฉาบทั่วไปก็มีการผสมปูนขาวเข้าไปเพื่อทำให้มันยืดหยุ่นขึ้น และลดการแตกร้าว) นอกเหนือจากนั้น ปูนขาวฉาบและดินมีอัตราการขยายและหดตัวที่ใกล้เคียงกัน ทำให้โอกาสที่จะแตกหรือหลุดร่อนเนื่องจากการขยายหรือหดตัวของวัสดุมีน้อยลง<br /><br /> ปูนขาวฉาบหดตัวเพียงเล็กน้อยเมื่อแห้ง จึงลดความเป็นไปได้ที่จะแตกร้าว และเพราะว่าปูนขาวไม่ดูดซึมน้ำเหมือนกับปูนซีเมนต์ ทำให้ปูนขาวฉาบนี้ไม่ได้ไปทำลายผนังดินด้านใน คุณคงนึกภาพออกว่าเมื่อคุณฉาบผนังด้วยปูนซีเมนต์ซึ่งดูดความชื้นสู่ผนัง มันก็จะทำให้ผนังดินด้านในผุพัง และมีโอกาสที่จะแยกตัวออกจากผนัง<br /><br /> ปัจจัยที่ว่านี้ส่งผลให้ปูนขาวฉาบนี้มีโอกาสแตกร้าวน้อยกว่าปูนซีเมนต์ และรอยร้าวในปูนขาวฉาบที่เกิดจากอาคารปิดตัวหรือจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของผนังนั้นมีขนาดเล็กกว่ารอยแตกร้าวในปูนซีเมนต์<br /><br /> ปูนขาวฉาบยังมีความสามารถที่จะเยียวยาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะรอยแตกร้าวขนาดเท่าเส้นผม เนื่องจากแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในปูนขาวฉาบนี้จะทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในธรรมชาติซึ่งจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่จะซ่อมแซมรอยร้าวเล็ก ๆ นี้ ถ้ารอยร้าวมีขนาดใหญ่กว่านั้น เราก็สามารถซ่อมแซมได้โดยการละลายปูนขาวฉาบให้มีลักษณะเป็นน้ำ หรือให้ข้นเหมือนน้ำนมแล้วฉาบ<br /><br /> ปูนขาวฉาบนั้นฉาบได้ง่าย สามารถยึดเกาะกับผนังดินได้ดีโดยไม่ต้องใช้ลวดกรงไก่ ความหนืดและเหนียวของมันทำให้สามารถที่จะโปะลงบนผนังได้ง่าย ปูนขาวฉาบจะค่อย ๆ แห้งทำให้ผู้ฉาบมีเวลาที่จะฉาบแต่งได้โดยไม่ต้องรีบร้อง โดยปรกติจะใช้เวลาประมาณ ๕ - ๗ วันเพื่อให้ปูนขาวฉาบนี้แข็งแรงพอที่เอานิ้วโป้งกดแล้วไม่เป็นรอยจม แต่ยังไม่สามารถทนกับแรงกระแทกได้ ปูนขาวฉาบนี้ใช้เวลาแห้งเต็มที่ประมาณ ๑ ปี ซึ่งก็คือเปลี่ยนสภาพตัวมันเองทั้งหมดไปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต<br /><br /> ข้อดีอีกข้อของปูนขาวฉาบคือความเป็นด่างของมันไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเห็ดและรา ซึ่งอาจทำให้สีของผนังด่างและอาจมีผลต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย<br /><br /> ข้อดีข้อสุดท้ายของปูนขาวฉาบคือ มีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าคอนกรีต ทำให้หน้าหนาวอุณหภูมิภายในบ้านอุ่นกว่าภายนอก (สำหรับแถบประเทศหนาว และทำให้ภายในบ้านมีอากาศเย็นในหน้าร้อนในกรณีประเทศแถบร้อน-ผู้แปล)<br /><b><br />ข้อเสียของปูนขาวฉาบ</b><br /><br /> แม้ว่าจะมีเหตุผลหลายประการที่คุณควรจะเลือกใช้ปูนขาวฉาบ แต่ตัวมันเองก็มีข้อเสียด้วย เช่น ปูนขาวนั้นเป็นวัสดุที่สามารถกัดผิวได้เมื่อผสมผงปูนขาวเข้ากับน้ำ ระหว่างการทำปฏิกิริยาทางเคมีและเกิดความร้อน สารละลานน้ำอาจกระเด็นขึ้นมาโดนมือ, แขน, หน้า หรือโดนตา ซึ่งอาจทำให้ไหม้ได้ถ้าไม่ได้ใส่เครื่องป้องกัน เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดีเวลาผสม<br /><br /> แม้ว่าปูนขาวจะใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตปูนซีเมนต์ แต่ก็ยังถือว่าใช้พลังงานมากกว่าการใช้ดินฉาบอยู่พอสมควร ถ้าคุณคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม,,,ก็ควรใช้ดินฉาบทั้งภายในและภายนอก หรืออาจใช้ดินฉาบแล้วทำผิวขั้นสุดท้ายด้วยปูนขาว<br /><br />ปูนขาวเป็นวัสดุที่ต้องพิถีพิถัน เพราะการที่หลังจากฉาบไปแล้วแคลเซี่ยมไฮดรอกไซด์จะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตหลังจากที่ทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ดีในอุณหภูมิอุ่น และมีความชื้นพอประมาณ ปฏิกิริยานี้อาจช้าลงถ้าเปียก หรือแห้ง หรือร้อนเกินไป<br /><br />ปูนขาวฉาบต้องการการประคบประหงม หลังจากที่ฉาบไปแล้ว เราจะต้องคอยทำให้ชื้นประมาณวันละครั้งตลอด ๗ - ๑๔ วัน สำหรับภูมิอากาศแบบเย็นและชื้น เพื่อมั่นใจว่ามันจะคงสภาพที่ดี สำหรับสภาพภูมิอากาศแบบร้อน แห้ง หรือมีลมแรง อาจต้องมีการพรมน้ำวันละ ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังแห้งเร็วจนเกินไป (ถ้าแห้งเร็วเกินไปจะทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีช้าลง) อาจจำเป็นต้องแขวนผ้าใบหรือผ้ากระสอบรอบผนังเพื่อรักษาความชื้น<br /><br /> ในภูมิประเทศที่มีฝนตกชุก อาจต้องป้องกันผนังจากฝนโดยการแขวนผ้าใบไว้จนกว่าฝนจะหยุด ผ้าใบที่แขวนควรห่างจากผนังเล็กน้อยเพื่อให้ความชื้นจากผนังสามารถที่จะระเหยออกมาได้ ถ้าแขวนติดกับผนังอาจทำให้ราขึ้น<br /><br /> ถ้าต้องการเร่งให้ผนังแห้งเร็วขึ้นอาจทำได้โดยการเพิ่มสารเร่งซึ่งมีหลากหลายชนิด ในอดีตมีการใช้อิฐ..... กระเบื้อง(ปูพื้น-ผู้แปล)ดินเผา และหม้อดินเผา ซึ่งจะต้องทำการโม่หรือบดให้ละเอียดเพื่อผสมลงไป อิฐ.....อาจหาได้ตามร้านขายเครื่องปั้นดินเผาทั่วไป บางครั้งมีการผสมผงฝุ่น(fly ash) ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีคุณสมบัติดีมาก แต่ค่อนข้างอันตรายเนื่องจากมันมีส่วนผสมของโลหะหนักที่เป็นสารพิษ fly ash อาจมีผลกับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่แนะนำให้ใช้<br /><br /> ส่วนผสมอื่นคือ Hydraulic Lime ซึ่งผสมดินเหนียวเพื่อให้setตัวเร็วขึ้น หรืออาจผสมซีเมนต์เพื่อเร่งเวลาแห้งให้เร็วขึ้น นักสร้างบ้านชาวแคนาดา Michel Bergeron บอกว่า ถ้าผสมซีเมนต์ต่ำกว่า 20 เปอร์เซนต์โดยปริมาตรจะทำให้แห้งเสร็จก่อน 24 ชั่วโมง โดยมีความยืนหยุ่นและความแข็งแรงเหมือนเดิม แต่จากประสบการของผู้ใช้ปูนขาวฉาบในยุโรป จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มซีเมนต์นี้ เพราะรู้สึกว่ามันจะทำให้ปูนขาวฉาบนี้มีความแข็งแรงลดลง ซึ่งเราเห็นด้วย<br /><br /> สารที่ผสมเพื่อเร่งการแข็งตัวจะทำปฏิกิริยากับปูนขาวเพื่อสร้างโครงสร้างคริสตัลคล้ายกับแคลเซียมคาร์บอเนต แต่ถึงแม้ว่ามันจะก่อรูปและแข็งตัวได้เร็วกว่า แต่ก็จะทำให้มันลดความสามารถในการระบายความชื้น และความแข็งแรง ซึ่งสำหรับบ้านดินหรือบ้านฟางแล้ว นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่อาจจะเป็นอันตรายได้<br /><br /> ปูนขาวก็คล้ายกับการฉาบด้วยดินคือต้องการการดูแลรักษา แม้ว่าปูนขาวฉาบจะไม่ร้าวมากและสามารถรักษาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง มันก็ยังต้องฉาบหรือใช้ปูนขาวผสมน้ำทาทุก ๆ 2 - 10 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพอากาศ อาจต้องมีการอุดรอยบ้าง การซ่อมแซมนั้นอาจต้องใช้เวลา แต่ก็ยังถือว่าใช้เวลาน้อยกว่าการขูดสีเดิมออกจากบ้านไม้แล้วทาสีใหม่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าบ้านคุณจะสร้างด้วยวัสดุอะไรก็จำเป็นจะต้องมีการดูแลรักษาทั้งนั้น<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>วิธีการทำ Lime Putty (ปูนขาวข้น)</b><br /><br />ปูนขาวฉาบคือการผสมทรายเข้ากับปูนขาวข้น ถ้าคุณโชคดีอยู่ในประเทศที่ยังมีการใช้ปูนขาวฉาบอยู่ เช่นในสหราชอาณาจักร คุณอาจหาซื้อปูนขาวข้นสำเร็จรูปได้ตามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแล้วนำมาผสมทรายได้เลยแต่ถ้าหาซื้อไม่ได้ คุณก็สามารถทำตัวเองได้<br /><br /><b>วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผง (Quicklime)</b><br /><br /> Quicklime มีลักษณะเป็นผงแป้งซึ่งประกอบไปด้วยแคลเซียมออกไซด์และแมกนีเซียมออไซด์ในหลาย ๆ สัดส่วน(ขึ้นอยู่กับแหล่งของหินปูน) แม้ว่าจะหาซื้อได้ยากในอเมริกาเหนือ แต่ช่างฉาบเชื่อว่าปูนขาวที่แช่น้ำไว้ดีจะเป็นัวฉาบที่ดีที่สุด<br /><br /> การแช่ปูนขาวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย แต่ผู้เขียนหนังสือ "คู่มือของสมาคมผู้ใช้ปูนขาวแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา" ได้ชี้ให้เห็นว่า "ดูเหมือนจะง่าย แต่มันก็ต้องการทักษะและประสบการ" ซึ่งอาจต้องการการฝึกฝนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อาจทำปูนขาวให้เสียหายจากความเผลอเรอหรือไม่ใส่ใจได้ ผงปูนขาวอาจเป็นอันตราย เราไม่ควรจะสูดเอาผงฝุ่น, ไม่ให้สัมผัสกับตาและผิวหนัง การนำเอาผงปูนขาวไปแช่น้ำ แม้จไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำอันตรายกับเราได้เหมือนกัน<br /><br /> การทำปูนขาวข้นนี้สามารถใช้กับปูนขาวทุกประเภท ทั้งประเภทที่มีแคลเซียมสูง และที่มีแมกนีเซียมสูง แต่ไม่ว่าปูนที่เรามีอยู่จะมีส่วนผสมอย่างไร เราควรจะหาความรู้ก่อนที่จะเริ่มทำด้วยการอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับปูนขาวหรือหาที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญการทำปูนขาว หรือให้ดีที่สุด คุณอาจลองหาโอกาสลองทำกับผู้ที่มีระสบการณ์ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำปูนขาวฉาบมาก่อน ก่อนที่คุณจะลองผสมปูนขาวฉาบของตัวเอง<br /><br /> ก่อนที่จะเริ่ม ตัดสินใจก่อนว่าคุณจะใช้ปูนขาวที่มีสัดส่วนของแคลเซียมออกไซด์และแมกนีเซียมออกไซด์ก่อน ซึ่งคุณจะได้เห็นว่ามันมีผลต่อวิธีการผสมมาก และอย่าลืมที่จะใส่ชุดให้รัดกุมเพื่อป้องกันร่างกายจากการโดนปูนกัด<br /><br /><b>วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแคลเซียมสูง</b><br /><br /> ก่อนอื่นให้ใส่น้ำสะอาดลงในถังที่สะอาด ถังที่ใช้ควรจะเป็นถังโลหะหรือถังพลาสติกที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะพลาสติกส่วนใหญ่อาจไม่ทนความร้อนที่สูง และเริ่มจากการใส่น้ำอย่างน้อย 3 ส่วนต่อปูนผง 1 ส่วน เมื่อคุณยังหัดทำอยู่ควรเริ่มทำจากจำนวนน้อย ๆ<br /><br /> หลังจากที่ใส่น้ำลงในถังให้ค่อย ๆ ใส่ปูนขาวผงไป ซึ่งมันจะจมดิ่งลงไปที่ก้นถัง ค่อย ๆ ใส่ปูนขาวผงลงไปจนกระทั่วส่วนผสมเริ่มเกิดฟองที่อุณหภูมิประมาณ 100 - 120 องศา ค่อย ๆ กวนส่วนผสมช้า ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปูนขาวผงได้ทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างทั่วถึง ถ้าจำเป็นอาจเพิ่มน้ำเพื่อลดอุณหภูมิของน้ำลง แต่จงจำไว้ว่าถ้าเติมน้ำมากเกินไปจะทำต้องรอเวลาที่ส่วนผสมจะได้ระดับความเหนียวที่เหมาะสมนานขึ้น<br /><br /> ระวังว่าปูนขาวนั้นทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างรวดเร็วและจะทำให้เกิดความร้อนสูง การใส่ปูนขาวทีละน้อยจะช่วยให้เราสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัย<br /><br /> เมื่อส่วนผสมหยุดเดือด ให้ค่อย ๆ คนด้วยไม้พายที่สะอาดเพื่อให้มั่นใจว่าทุก ๆ อนุภาคของปูนขาวได้สัมผัสกับน้ำ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ได้ทำปฏิกิริยา หลังจากนั้นก็ปล่อยส่วนผสมทั้งหมดไว้ให้ทำปฏิกิริยาจนสมบูรณ์ จำไว้ว่าแม้ว่าคุณกำลังทำงานอยู่กับปูนขาวที่มีส่วนผสมของแคลเซียมที่สูง มันก็ยังมีส่วนผสมของแมกนีเซียม ซึ่งยิ่งส่วนผสมของแมกนีเซียมสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เวลาในการทำปฏิกิริยานานขึ้นเท่านั้น และเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดคุณควรกวนส่วนผสมวันละครั้งในช่วง 3 - 4 วันแรก และมั่นใจว่าได้เก็บส่วนผสมไว้ในพาชนะที่ปิดโดยมีระดับน้ำสูงกว่าปูนขาวประมาณ 2 นิ้วเพื่อป้องกันไม่ให้ปูนขาวสัมผัสกับอากาศ คอยตรวจสอบระดับน้ำอยู่เสมอเพราะเมื่อไหร่ที่ปูนขาวสัมผัสกับอากาศ มันก็จะเริ่มทำปฏิกิริยากับคาร์บอนในอากาศ ซึ่งจะทำให้ปูนขาวขันนั้นติดกับผนังได้ยากขึ้น<br /><br /><b>วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแมกนีเซียมสูง</b><br /><br /> การทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแมกนีเซียมสูงนั้นค่อนข้างง่าย แทนที่เราจะเทปูนลงไปในน้ำ คราวนี้เราต้องเทน้ำลงไปบนปูนขาวผง และปริมาณน้ำที่ใช้จะน้อยกว่าที่ใช้ในการผสมปูนขาวผงที่มีแคลเซียมสูงประมาณครึ่งหนึ่งถึงสองในสามส่วน กระจายผงปูนขาวให้ทั่วก้นถังให้หนาเท่า ๆ กัน ค่อย ๆ เติมน้ำจนกว่ากระบวนการจะเริ่ม เมื่อเริ่มเดือดและเกิดฟองอากาศให้ใส่น้ำที่เหลือลงไปอย่างรวดเร็ว<br /><br /> เมื่อเทน้ำทั้งหมดลงไปแล้ว ซึ่งก็คือตัวปูนขาวข้นนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำประมาณ 1 - 2 นิ้ว ค่อย ๆ คนให้อนุภาคของปูนขาวทั้งหมดได้สัมผัสกับน้ำ จุดนี้แหละที่ประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าผสมน้ำมากเกินไป ปูนขาวที่มีแมกนีเซียมสูงนี้จะไม่หนืดข้น คุณจะบอกได้ว่าคุณทำพลาดไปแล้วถ้าคุณเห็นส่วนผสมไม่ข้นและเหลวเป็นน้ำอยู่<br /><br /> ถ้าใส่น้ำน้อยเกินไปจะทำให้ปูนขาวข้น"ไหม้" ซึ่งหมายว่าว่าอนุภาคเล็ก ๆ ของปูนขาวบางส่วนนั้นไม่ได้ทำปฏิกิริยากับน้ำจนสมบูรณ์ เมื่อนำไปฉาบบนผนัง ก็อาจทำให้ผนังส่วนนั้นกระเทาะออกมาทำให้เกิดหลุมบนพื้นผิวผนัง<br /><br /><b>การกรองและเก็บปูนขาวข้น</b><br /><br /> หลังจากปูนขาวข้นเย็นแล้ว โดยปรกติประมาณ 1 - 2 วันสำหรับถังขนาดใหญ่ หลังจากที่เราได้กรองเอาปูนที่เป็นก้อนและสิ่งสกปรกอื่น ๆ ออกแล้ว ให้เก็บไว้ในถังที่มีระดับน้ำสูงเกินกว่าปูนขาวข้นประมาณ 1 - 2 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปูนขาวข้นสัมผัสกับอากาศ ต้องคอยตรวจสอบและเติมน้ำอย่างสม่ำเสมอ<br /><br /> ควรเตรียมถังให้ขนาดใหญ่กว่าปริมาณที่ผสม เพราะปูนขาวเมื่อแช่น้ำแล้วจะขยายตัวประมาณ 30 เปอร์เซนต์ของปริมาณปูนขาวผง<br /><br /><b>การผสมปูนขาวฉาบจากปูนขาวข้น</b><br /><br /> ปูนขาวฉาบได้จากการผสมปูนขาวข้นกับทราย อย่างที่คุณเห็นว่าปูนขาวข้นนั้นอาจทำได้จากหลายทาง เช่น จากร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ทำจากปูนขาวผง<br /><br /> การผสมปูนขาวฉาบควรทำล่วงหน้าก่อนเริ่มฉาบนานพอสมควร เพื่อให้ปูนขาวที่เราจะใช้นั้นได้ทำปฏิกิริยาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องอายุของมัน เพราะปูนขาวข้นนี้สามารถที่จะเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสียหาย ตราบใดที่ยังมีน้ำสูงกว่าตัวปูนข้น 1 - 2 นิ้ว<br /><br /><b>การผสมปูนขาวฉาบ</b><br /><br /> ปูนขาวฉาบนั้นสามารถฉาบลงบนผนังดินได้โตยตรง เราอาจจะฉาบเพียง 1 - 2 ชั้นบนผนังที่ฉาบด้วยดิน หรืออาจฉาบ 3 ชั้นบนผนังที่ยังไม่ได้ฉาบดิน ซึ่งเราจะอธิบายระบบการฉาบ 3 ชั้นก่อน<br /><br /> ในการฉาบ 3 ชั้นนั้น สองชั้นแรกมักจะใช้ปูนขาวข้น 1 ส่วนกับทราย 2 - 3 ส่วน อาจใส่วัสดุเส้นใยเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึงก็ได้ยกเว้นการฉาบชั้นสุดท้าย ปูนฉาบชั้นแรกอาจมีส่วนผสมของปูนขาวต่อทรายมากกว่า อาจเป็น 1.5 ส่วนต่อทราย 2 - 3 ส่วน<br /><br /> ทรายจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการแตกร้าว ทรายที่ใช้ผสมในปูนขาวควรจะเป็นทรายที่มีลักษณะของอนุภาคแหลม ไม่ควรใช้ทรายที่มีลักษณะกลมมน และขนาดของเม็ดทรายควรมีความหลากหลาย ทรายที่ละเอียดมาก ๆ หรือทรายที่มีขนาดอนุภาคเท่ากันหมดจะทำให้ปูนขาวฉาบนั้นแข็งแรงน้อยลงและอาจทำให้แตกร้าว ทรายที่เล็กและกลมจะทำให้ผนังไม่แข็งแรง อาจแตกร้าวหรือหลุดร่อนได้ ทรายทะเลที่มีส่วนผสมของเกลือจะทำให้เกิดรอยเปื้อนขาวจากการที่เกลือพยายามที่จะดันตัวเองมาอยู่บนพื้นผิว ถ้าจะใช้ทรายทะเลควรล้างให้สะอาดก่อน<br /><br /> เมื่อผสมปูนขาวฉาบให้ผสมน้ำ ปูนขาวข้น และทรายเข้าด้วยกันด้วยมือ (โดยใช้ไม้พาย ไม่ควรใช้มือเปล่า) เมื่อผสมดีแล้วจึงค่อยใส่วัสดุเส้นใย(จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) อาจใช้ขนสัตว์หรือฟางแต่โดยปรกติแล้วจะใช้ในการฉาบภายในหรือฉาบชั้นแรกของผนังด้านนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ไม่ควรใส่เส้นใยในการฉาบชั้นสุดท้ายเพราะขนหรือเส้นใยที่ฉาบในชั้นสุดท้ายนี้จะดูดซับความชื้นจากอากาศ ซึ่งอาจทำให้ปูนฉาบแตกร้าวในสภาพอากาศที่หนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง เราสามารถใช้วัสดุเส้นใย หรือขนสัตว์ได้หลากหลายชนิด ในยุโรปนิยมใช้ขนม้าในปูนขาวฉาบ (ยกเว้นขนแผงคอและหาง) ซึ่งผิวค่อนข้างหยาบ ขนวัว, แพะ และหมู ก็ถือว่าใช้ได้ ผมของคนก็สามารถใช้ได้ถ้าผมนั้นไม่เรียบลื่นจนเกินไป<br /><br /> ไม่ว่าจะใช้ขนสัตว์ชนิดใด เราควรจะต้องแยกออกจากกันไม่ให้ติดเป็นก้อน เพื่อไม่ให้มันกระจุกตัวอยู่ในปูนขาวฉาบ และผสมขนสัตว์ต่อปูนขาวฉาบในสัดส่วน 0.5 ต่อ 1<br /><br /> เนื่องจากปูนขาวฉาบต้องใช้ขนสัตว์มาก บางคนจึงนิยมใช้ฟางในการฉาบอาคารด้านใน และฉาบรองพื้นในผนังด้านนอก เพราะฟางนั้นหาได้ง่ายกว่าในคุณภาพที่น่าพอใจ โดยใช้สัดส่วนเดียวกับการผสมขนสัตว์ ฟางที่ใช้ควรตัดให้อยู่ในขนาด 1 - 3 นิ้ว การใช้ฟางอาจต้องผสมน้ำเพิ่มเพราะฟางจะดูดซีมน้ำทำให้ปูนขาวฉาบนั้นแห้ง การผสมใช้เวลาประมาณ 10 นาที แม้ว่าหลายคนจะกังวลว่าปูนขาวอาจจะกัดฟางจนหมด แต่ความจริงแล้วปูนขาวช่วยให้ฟางแข็งตัว เหมืนกับการแข็งตัวของไม้หรือฟอสซิลกระดูกโบราณ แคลเซียมจะแทรกซึมเข้าไปในช่องว่าภายในเส้นใยของฟางและกลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ช่วยทำให้กลายเป็นวัสดุที่คงทนแข็งแรง<br /><br /> เมื่อผสมเสร็จแล้ว ส่วนผสมที่ได้ควรจะเหนียวพอที่จะติดกับเกรียงแม้จะคว่ำหน้าลง ถ้าผสมน้ำมากเกินไปจะทำให้เกิดรอยร้าวจากการหดตัวซึ่งจะทำให้ไม่แข็งแรง<br /><br /><br /><b> การฉาบปูนขาวลงบนผนัง</b><br /><br /><br /> ก่อนจะฉาบลงบนผนังดิน คุณควรทำผนังให้เปียกก่อน โดยไม่ต้องใช้ตะแกรงลวดกรงไก่ เพราะลวดกรงไก่จะลดการยึดเกาะระหว่างปูนขาวฉาบกับผนัง และทำให้เกิดช่องอากาศภายในซึ่งอาจทำให้ปูนฉาบแยกออกในภายหลัง<br /><br /><br /> เมื่อฉาบบนผนังดิน เราอาจต้องเตรียมการซักเล็กน้อย ผนังดินนั้นควรต้องแห้งสนิท แล้วค่อยทำการพรมน้ำให้ชื้นก่นการฉาบปูนขาว โดยไม่ให้เปียกเกินไปจนมีน้ำไหลลงมาตามผนัง ทิ้งไว้ให้น้ำซึมลงไปในผนังประมาณ 1 - 2 นาที แล้วจึงเริ่มฉาบปูนขาว ก่อนที่จะทำการฉาบในแต่ละชั้นเราจะต้องพรมน้ำที่ผนังเสียก่อน<br /><br /><br /><b>ระบบการฉาบ 3 ชั้น</b><br /><br /><br /> โดยปรกติการฉาบปูนขาวมักจะทำการฉาบทั้งหมด 3 ชั้น โดยเริ่มจากการรองพื้น โดยปรกติแล้วมีความหนาประมาณ 3/8 - ½ นิ้ว ถ้าใช้เกรียงเมื่อฉาบเสร็จแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง ให้เราทำรอยขีดที่ผนัง แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ก่อนที่จะฉาบผนังชั้นที่ 2 ไม่ว่าจะฉาบด้วยมือหรือเกรียง ราควรต้องทำให้ผนังชั้นแรกขรุขระพอที่จะยึดกับปูนขาวฉาบชั้นที่ 2<br /><br /><br /> คุณควรจะต้องพรมน้ำผนังปูนขาวฉาบให้ชื้น 1 - 3 ครั้งต่อวันภายใน 1 - 2 อาทิตย์แรก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในพื้นที่ร้อน ลมแรง และแห้งแค่ไหน อาจจะใช้น้ำประปาหรือน้ำที่ผสมปูนขาวเพื่อพรมบนผนัง น้ำที่ผสมปูนขาวนี้อาจมาจากน้ำที่มาจากถังที่แช่ปูนขาวข้น(น้ำใส ๆ ที่อยู่ด้านบน) หรือผสม ปูนขาวข้น 1 ถ้วยต่อน้ำ 5 ถัง น้ำปูนขาวนี้จะช่วยเร่งกระบวนการทำปฏิกิริยา เวลาทำต้องระวังไม่ให้น้ำปูนขาวกระเด็นโดนผิวหนังหรือตา<br /><br /><br /> หรือเราอาจจะใช้ผ้าใบหรือผ้ากระสอบปิดล้อมรอบผนังเพื่อป้องกันลม อากาศแห้ง และแสงแดด<br /><br /><br /> การฉาบชั้นที่สองเพื่ออุดช่องว่าง และทำให้ผนังเรียบมากขึ้น ชั้นที่สองไม่ควรฉาบหนามากเพราะจะทำให้ร่อน ผนังที่หนาเกินไปจะลดการทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อผนัง ถ้าคุณใช้ปูนขาวข้นผสมทรายโดยไม่ใส่สารเพื่อเร่งให้แห้งเร็ว ไม่ควรจะฉาบหนาเกิน 2 หุนครึ่ง (5/16 นิ้ว) หลังจากฉาบเสร็จให้รอซักระยะนึ่งก่นที่การฉาบอีกครั้งเพื่อกลบรอยแตกร้าว หลังจากการฉาบอีกครั้งควรใช้ฟองน้ำลูบ(โดยไม่ต้องชุบน้ำ)อีกครั้ง เพื่อทำให้ผนังหยาบและยึดเกาะกับการฉาบชั้นสุดท้าย<br /><br /><br /> เมื่อฉาบเสร็จแล้วก็ควรรักษาผนังให้ชื้นเช่นเดียวกับการฉาบชั้นแรก ในช่วง 1 - 2 อาทิตย์แรก คุณอาจฉาบชั้นแรกด้วยดินก่อนการฉาบด้วยปูนขาว เพื่ออุดรอยร้าวหรือรอยยุบต่าง ๆ ควรรอให้ผนังดินแห้งสนิทก่อนฉาบปูนขาว ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาไปได้ประมาณ 1 - 2 อาทิตย์<br /><br /><br /> การฉาบชั้นสุดท้าย ผสมปูนขาว 1.5 ส่วนต่อทรายละเอียด 2 - 3 ส่วน ไม่ควรฉาบหนากว่า 1 หุน ฉาบโดยใช้เกรีย แล้วรอให้แห้งซักพัก แล้วฉาบอีกครั้งเพื่อให้ปูนฉาบแน่นทำให้สามารถกันน้ำได้ดีขึ้น ฉาบโดยการกดเกรียงลงไปเล็กน้อยเพื่อพิ่มความแน่นของผนัง ถ้าผนังแห้งเกินไปอาจทำการพรมน้ำก่อนการฉาบ เกรียงที่ใช้ควรชุบน้ำด้วยเพื่อทำให้ฉาบได้ง่าย<br /><br /><br /> ถ้าต้องการให้ผนังหยาบอาจใช้เกรียงไม้ หรือใช้ฟองน้ำ(แห้ง)ฉาบ<br /><br /><br /> คุณสามารถใช้ปูนขาวฉาบลงบนสังกะสีหรือไม้ได้หลายวิธี อย่างเช่น ไม้อาจทาด้วยแป้งเปียกผสมน้ำและทรายก่อน แล้วค่อยฉาบปูนขาวลงไป<br /><br /><br /><b>การทำสี</b><br /><br /><br /> ปูนขาวฉาบจะมีสีขาวเมื่อแห้ง แต่การทำสีจะช่วยให้สวยงามมากขึ้น การทำสีอาจทำได้โดยผสมสีฝุ่นธรรมชาติในการฉาบชั้นสุดท้าย หรือโดยการผสมสีฝุ่นลงในน้ำปูนขาวก็ได้ คุณอาจต้องระวังในการเลือกสีที่เหมาะสมกับปูนขาว เพราะปูนขาวมีฤทธิ์เป็นเบส (ค่า pH สูง) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับเม็ดสีที่มีค่าความเป็นกรด (ค่า pH ต่ำ) หรือสีบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับเกลือ หรือเหล็กในบรรยากาศ ซึ่งเป็นผลให้เม็ดสีบางชนิดไม่คงทนและซีดจางเมื่อผ่านไปนาน ๆ<br /><br /><br /> โดยทั่วไป สีที่เป็นออกไซด์ของเหล็ก เช่นสีเหลือง, ส้ม แดง และน้ำเงินจะค่อนข้างคงทน (แต่สีน้ำเงิน Cobalt blue ค่อนข้างเป็นอันตราย) ส่วนสีท่มีส่วนผสมของทองแดงจะไม่ค่อยคงทนนัก<br /><br /><br /> คุณควรปรึกษากับผู้ขายที่มีความรู้ และควรจะทำการทดสอบสีก่อนที่จะนำไปทาบนอาคารจริง การจะทดสอบว่าสีใดคงทน ควรทาทิ้งไว้ 6 เดือนเพื่อดูผล <br /><br /><br /> การใช้เม็ดสีที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ได้เหมือนกัน แต่ต้องระวังว่าเม็ดสีสังเคราะห์บางชนิดนั้นเป็นพิษและมีผลต่อสุขภาพ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ควรระวังด้วยว่า แม้แต่เม็ดสีธรรมชาติบางชนิดก็เป็นพิษเช่นเดียวกัน<br /><br /><br /> ช่างบางคนอาจผสมเม็ดสีลงในปูนฉาบชั้นสุดท้าย ไม่ควรใส่ผงสีเกิน 3 % โดยน้ำหนัก เพราะจะทำให้ความแข็งแรงของผนังลดลงและมีผลต่อการแข็งตัว<br /><br /><br /> ขั้นตอนการผสมควรผสมสีกับทรายก่อน แล้วจึงนำไปผสมกับปูนขาวข้นแล้วกวนให้เข้ากัน อาจผสมสีด้วยน้ำเล็กน้อยก่อนนำมาผสมปูนขาวข้น แล้วเติมทรายทีหลัง<br /><br /><br /><b>การทาด้วยน้ำปูนขาว</b><br /><br /><br /> การทาด้วยน้ำปูนขาวนี้เป็นที่นิยมในอดีตและยังคงมีการใช้กันอย่างแพร่หายเพื่อให้ได้พื้นผิวที่มีความด้าน น้ำปูนขาวเกิดจากการผสมน้ำกับปูนขาวข้น แล้วทาลงบนผนังเพื่อเพิ่มการป้องกันและช่วยอุดรอยร้าว ทำให้ผนังเรียบมากขึ้น โดยอาจผสมเม็ดสีเพื่อเพิ่มความสวยงาม<br /><br /><br /> การทาด้วยน้ำปูนขาวจะช่วยให้ผนังทนทานมากขึ้นและช่วยป้องกันฝน ถ้าคุณวางแผนที่จะทาด้วยน้ำปูนขาว คุณควรทำพื้นผิวฉาบชั้นสุดท้ายให้ขรุขระเล็กน้อย เราอาจทาด้วยน้ำปูนขาวผสมสีหลาย ๆ ชั้นเพื่อให้สีมีความเข้มมากขึ้น หรืออาจทาลงบนปูนขาวฉาบชั้นที่สุดท้ายที่ผสมสีไว้แล้วก็ได้<br /><br /><br /> คุณสามารถฉาบน้ำปูนขาวบนผนังดินเลยก็ได้ แต่ควรจะทดลองก่อนที่จะทาจริง เพื่อมั่นใจว่ามันจะได้ผลอย่างที่คุณต้องการ การทาน้ำปูนขาวลงบนผนังอาจทำให้ดูเลอะเทอะมากกว่าที่จะดูสวยงาม ถ้าต้องการให้ได้สีที่สวย คุณควรฉาบด้วยปูนขาวซัก 1 ชั้นก่อนทำการทาด้วยน้ำปูนขาว<br /><br /><br /> น้ำปูนขาวนี้มีคุณประโยชน์หลายอย่าง นอกจากการระบายสี และช่วยป้องกันผนังจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้ว ยังช่วยปกปิดร่อยรอยอันเกิดจากการฉาบที่ไม่พร้อมกัน(การฉาบแต่ละครั้งอาจผสมได้สีปูนขาวฉาบที่ต่างกันเล็กน้อย) เมื่อทาลงไปบนผนัง ปูนขาวฉาบจะทำปฏิกิริยาและช่วยปกปิดรอยร้าวบนผนัง ทำให้ผนังเรียบและคงทน ในขณะเดียวกันก็ยังคงระบายความชื้นได้ด้วย<br /><br /><br /><b>วิธีการทำน้ำปูนขาว</b><br /><br /><br /> น้ำปูนขาวทำจากปูนขาวข้นผสมน้ำ โดยเริ่มจากการผสมน้ำลงในปูนขาวข้น (น้ำ 1.5 ส่วนต่อปูนขาวข้น 2 ส่วน) จนได้ความเหนียวประมาณนมสด (สีที่ได้จะมีลักษณะกึ่งใส และอาจไม่ขาวเหมือนนมสด) แล้วนำไปเทผ่านตะแกรงเพื่อแยกปูนขาวส่วนที่จับตัวกันเป็นก้อนออก นำเม็ดสีผสมกับน้ำแยกไว้ต่างหาก แล้วจึงเทลงไปในน้ำปูนขาวแล้วคนให้ทั่ว<br /><br /><br /> สัดส่วนในการผสมเม็ดสีนั้นค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะเมื่อแห้งสีที่ได้จะอ่อนลงไปมาก คุณจึงควรทดลองทาบนผนังแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งก่อน ระวังว่าการผสมเม็ดสีมากเกินไปจะทำให้ความแข็งแรงลดลง และจำไว้ว่าถ้าคุณต้องการสีที่สด อาจจะต้องทาซ้ำหลายรอบ<br /><br /><br /> เมื่อคุณเตรียมน้ำปูนขาวไว้พร้อมแล้ว ให้ทำการพรมน้ำบนผนังให้เปียกเท่า ๆ กัน ถ้าคุณทาลงบนผนังแห้ง น้ำจะถูกดูดออกไปทันที ทำให้การยึดเกาะไม่ดีเท่าที่ควร<br /><br /><br /> โดยปรกติแล้วเราจะทาน้ำปูนขาวโดยใช้แปรงทาสี ไม่ควรทาเร็วมากเกินไป เพราะน้ำปูนขาวกระเด็นได้ง่าย จึงควรสวมเสื้อแขนยาว ถุงมือ และแว่นตา เพื่อป้องกันปูนกัด<br /><br /><br /> ก่อนที่จะทาน้ำปูนขาว ไม่ว่าจะทาผนังใหม่หรือซ่อมแซมผนังเก่า คุณควรทำความสะอาดโดยการปัดฝุ่นและทรายที่ลอยออกมาก่อน แล้วจึงพรมน้ำบนผนังให้ชื้นด้วน้ำสะอาด จำไว้ว่าน้ำปูนขาวจะไม่ทึบและหนาเหมือนกับสีโดยทั่วไป ถ้าเราต้องการให้มันทึบอย่างที่เราต้องการอาจต้องทาซ้ำหลายรอบ ต้องการการทาแต่ละครั้งจะดูบางมาก เพื่อไม่ให้มันร่อนออกมา เมื่อน้ำปูนขาวแห้งมันจะดูทึบขึ้นเล็กน้อย โดยปรกติแล้วเราต้องทา 3 - 6 ชั้น ก่อนที่จะทาชั้นต่อไป เราต้องรอให้ชั้นก่อนหน้านั้นแห้งจนสนิท แล้วทำการพรมน้ำให้ชื้น<br /><br /><br /> เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด คุณควรทำผนังให้เปียกทิ้งไว้หนึ่งวันก่อนทาน้ำปูนขาว แล้วก่อนทาสีให้พรมน้ำอีกครั้ง การทาแต่ละครั้งควรห่างกันหลาย ๆ วัน (แม้ว่ามันจะแห้งภายในวันเดียว แต่มันจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์กว่าจะแข็งแรงโดยสมบูรณ์)<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ที่มา : www.glasswarechemical.com</div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-53778057213116979372018-09-11T19:50:00.000-07:002018-09-11T19:50:39.432-07:00ต้นหินฟ้าแลบ - บาร์ตูนิต้า<br /><b><span style="color: red;">ข้อมูลจาก Internet ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สมุนไพร</span></b><br />
<div>
<br /><div>
<b>ยาสมุนไพรพื้นบ้าน</b> :ใช้รักษาเนื้องอกในมดลูก, งูกัด, การป้องกันมะเร็ง, การป้องกันมะเร็ง, การรักษาโรคมะเร็ง , ยาขับปัสสาวะ ,ลดความดันโลหิต<br /><br />Universiti Putra Malaysia ใน1999 ศึกษาใบหินฟ้าแลบในการป้องกันมะเร็ง พบว่า ใบหินฟ้าแลบ ใช้สำหรับยับยั้งโรคมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมได้ผลดี การศึกษาพบว่าการฉีดยาในหนูที่ติดเชื้อมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมพบว่าควบคุมการแพร่กระจายและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง<br /><br />-ในประเทศอินโดนีเซียใบหินฟ้าแลบสามารถรักษาโรคปากนกกระจอกการใช้ภายนอกเพื่อรักษาอาการงูกัด และปลูกเป็นรั้วสามารถป้องกันงูและสัตว์มีพิษ<br /><br />-ตามคำแนะนำของแพทย์แผนจีน ปริมาณที่ปลอดภัยอยู่ระหว่าง15 ถึง30 กรัมต่อครั้งและควรต้มประมาณ3 ถึง4 ชั่วโมง<br /><br />-ข้อมูลจากมาเลเซีย ใช้ต้มดื่ม หักมา๑กิ่งล้างสะอาดใบมะละกอ๑ใบ หนานเฉาเหวย(南非草หนานเฟยเฉา)๗ใบ น้ำพอท่วมต้มดื่มครั้งละ๑แก้ว แก้โรคชิคุนกุนย่า<br /><br /><br /><br />ชื่อภาษาจีน: เฮยเมี่ยนเจียน-จวิน (黑面將軍)<br />ชื่อวิทยาศาสตร์: Strobilanthes Cripus, Strobilanthes crispa<br />ชื่อภาษาอังกฤษ: Black face general,Yellow Strobilanthus。<br />Pecah Beling , pokok pecah kaca หรือ pokok pecah beling (มาเลเซีย)<br />Pecah beling, enyoh kilo, kecibeling หรือ kejibeling (อินโดนีเซีย)<br />แหล่งกำเนิด: มาดากัสการ์, อินโดนีเซีย, คาบสมุทรมลายู<a href="http://photo.blog.sina.com.cn/showpic.html#blogid=6d35b6fd01016m2h&url=http://s4.sinaimg.cn/orignal/6d35b6fdg7a8eb78a8e83"></a><br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxMgLlWG2AYWxSljzHn6jMv8TCKhNMmykrJogCfrisGvcKkvmv31LU5mCATRWrwg15WvV8zEJnbotaFYBKIoHf-E4I5XNdm1VQm5zNgakx7QJGC84LMe9elFkV16cWk_hO1AoClneFg8k/s1600/001.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="459" data-original-width="690" height="424" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxMgLlWG2AYWxSljzHn6jMv8TCKhNMmykrJogCfrisGvcKkvmv31LU5mCATRWrwg15WvV8zEJnbotaFYBKIoHf-E4I5XNdm1VQm5zNgakx7QJGC84LMe9elFkV16cWk_hO1AoClneFg8k/s640/001.jpg" width="640" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiba7QBfgkKr8-NFqQwjldjMKzxNTJpr9V2asZrhSD7I0y9MgQMGmrIJBkucBrgGYaOySDzUxoqnw8B7BDlr8NwAc6rWsZkWvaUuNoItXPQ43Jr6Pmp62eGuVNOKGWFe-RAbX3H63oFsrE/s1600/002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="459" data-original-width="690" height="424" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiba7QBfgkKr8-NFqQwjldjMKzxNTJpr9V2asZrhSD7I0y9MgQMGmrIJBkucBrgGYaOySDzUxoqnw8B7BDlr8NwAc6rWsZkWvaUuNoItXPQ43Jr6Pmp62eGuVNOKGWFe-RAbX3H63oFsrE/s640/002.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLH3PY_VKAtQTwRffHIdI1Bg2f7vSYQZ0rqxNFuUEYL76zLX_B7Jbse_BvNFWjiwO2MHZP0X36E18LKlOA6e6zORKOk6hkVtZv8P7oWMawjJsy5DJXFwBiE2h0MW5hyphenhyphen0-4LBf2glfDR1g/s1600/003.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="459" data-original-width="690" height="424" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLH3PY_VKAtQTwRffHIdI1Bg2f7vSYQZ0rqxNFuUEYL76zLX_B7Jbse_BvNFWjiwO2MHZP0X36E18LKlOA6e6zORKOk6hkVtZv8P7oWMawjJsy5DJXFwBiE2h0MW5hyphenhyphen0-4LBf2glfDR1g/s640/003.jpg" width="640" /></a></div>
<br /><br /><br /><br /><br /></div>
</div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-8088405333647670982018-09-11T19:46:00.000-07:002019-11-04T17:52:43.908-08:00ต้นหินฟ้าแลบ - บาร์ตูนิต้า<br /><b><span style="color: red;">ข้อมูลจาก Internet ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สมุนไพร</span></b><div><br /><div><b>ยาสมุนไพรพื้นบ้าน</b> :ใช้รักษาเนื้องอกในมดลูก, งูกัด, การป้องกันมะเร็ง, การป้องกันมะเร็ง, การรักษาโรคมะเร็ง , ยาขับปัสสาวะ ,ลดความดันโลหิต<br /><br />Universiti Putra Malaysia ใน1999 ศึกษาใบหินฟ้าแลบในการป้องกันมะเร็ง พบว่า ใบหินฟ้าแลบ ใช้สำหรับยับยั้งโรคมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมได้ผลดี การศึกษาพบว่าการฉีดยาในหนูที่ติดเชื้อมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมพบว่าควบคุมการแพร่กระจายและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง<br /><br />-ในประเทศอินโดนีเซียใบหินฟ้าแลบสามารถรักษาโรคปากนกกระจอกการใช้ภายนอกเพื่อรักษาอาการงูกัด และปลูกเป็นรั้วสามารถป้องกันงูและสัตว์มีพิษ<br /><br />-ตามคำแนะนำของแพทย์แผนจีน ปริมาณที่ปลอดภัยอยู่ระหว่าง15 ถึง30 กรัมต่อครั้งและควรต้มประมาณ3 ถึง4 ชั่วโมง<br /><br />-ข้อมูลจากมาเลเซีย ใช้ต้มดื่ม หักมา๑กิ่งล้างสะอาดใบมะละกอ๑ใบ หนานเฉาเหวย(南非草หนานเฟยเฉา)๗ใบ น้ำพอท่วมต้มดื่มครั้งละ๑แก้ว แก้โรคชิคุนกุนย่า<br /><br /><br /><br />ชื่อภาษาจีน: เฮยเมี่ยนเจียน-จวิน (黑面將軍)<br />ชื่อวิทยาศาสตร์: Strobilanthes Cripus, Strobilanthes crispa<br />ชื่อภาษาอังกฤษ: Black face general,Yellow Strobilanthus。<br />Pecah Beling , pokok pecah kaca หรือ pokok pecah beling (มาเลเซีย)<br />Pecah beling, enyoh kilo, kecibeling หรือ kejibeling (อินโดนีเซีย)<br />แหล่งกำเนิด: มาดากัสการ์, อินโดนีเซีย, คาบสมุทรมลายู<a href="http://photo.blog.sina.com.cn/showpic.html#blogid=6d35b6fd01016m2h&url=http://s4.sinaimg.cn/orignal/6d35b6fdg7a8eb78a8e83"></a><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxMgLlWG2AYWxSljzHn6jMv8TCKhNMmykrJogCfrisGvcKkvmv31LU5mCATRWrwg15WvV8zEJnbotaFYBKIoHf-E4I5XNdm1VQm5zNgakx7QJGC84LMe9elFkV16cWk_hO1AoClneFg8k/s1600/001.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="459" data-original-width="690" height="424" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxMgLlWG2AYWxSljzHn6jMv8TCKhNMmykrJogCfrisGvcKkvmv31LU5mCATRWrwg15WvV8zEJnbotaFYBKIoHf-E4I5XNdm1VQm5zNgakx7QJGC84LMe9elFkV16cWk_hO1AoClneFg8k/s640/001.jpg" width="640" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiba7QBfgkKr8-NFqQwjldjMKzxNTJpr9V2asZrhSD7I0y9MgQMGmrIJBkucBrgGYaOySDzUxoqnw8B7BDlr8NwAc6rWsZkWvaUuNoItXPQ43Jr6Pmp62eGuVNOKGWFe-RAbX3H63oFsrE/s1600/002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="459" data-original-width="690" height="424" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiba7QBfgkKr8-NFqQwjldjMKzxNTJpr9V2asZrhSD7I0y9MgQMGmrIJBkucBrgGYaOySDzUxoqnw8B7BDlr8NwAc6rWsZkWvaUuNoItXPQ43Jr6Pmp62eGuVNOKGWFe-RAbX3H63oFsrE/s640/002.jpg" width="640" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLH3PY_VKAtQTwRffHIdI1Bg2f7vSYQZ0rqxNFuUEYL76zLX_B7Jbse_BvNFWjiwO2MHZP0X36E18LKlOA6e6zORKOk6hkVtZv8P7oWMawjJsy5DJXFwBiE2h0MW5hyphenhyphen0-4LBf2glfDR1g/s1600/003.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="459" data-original-width="690" height="424" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLH3PY_VKAtQTwRffHIdI1Bg2f7vSYQZ0rqxNFuUEYL76zLX_B7Jbse_BvNFWjiwO2MHZP0X36E18LKlOA6e6zORKOk6hkVtZv8P7oWMawjJsy5DJXFwBiE2h0MW5hyphenhyphen0-4LBf2glfDR1g/s640/003.jpg" width="640" /></a></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> </div></div>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-86206647501700035042018-04-09T19:56:00.001-07:002018-04-09T19:56:33.742-07:00สูตร 10-3-2-1-0 ช่วยนอนหลับสูตรนี้จะช่วยให้คุณนอนเวลานอนหลับได้ดีขึ้นและตื่นขึ้นมาอย่างสดชืนในเช้าวันรุ่งขึ้น และพร้อมสำหรับวันใหม่<br /><br /><br /><ul>
<li><b>10 ชั่วโมงก่อนนอน</b> - ควรงดผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ โค้ก ชา บุหรี่ เพราะร่างกายของคุณต้องใช้เวลาขัยออกจากกระแสเลือด</li>
<li><b>3 ชั่วโมงก่อนนอน </b>- ไม่ควรรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยหลีกเลี่ยงอาการเสียดท้อง (reflux กระเพาะอาหาร) และแอลกอฮอล์ อาจจะทำให้ะขัดจังหวะการนอนหลับลึก</li>
<li><b>2 ชั่วโมงก่อนนอน </b>- ไม่ควรทำงาน หรือโทรติดต่อ ,ตรวจสอบอีเมล ,อ่านรายงาน ,หรือคิดถึงงานวันพรุ่งนี้ </li>
<li><b>1 ชั่วโมงก่อนนอน</b> - ไม่ควรใช้เวลาอยู่ที่หน้าจอ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (โทรศัพท์,ทีวี,คอมพิวเตอร์) ก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอทำให้ยากที่จะหลับ ใช้เวลาอ่านหนังสือจริงอ่านหนังสือ,พูดคุย ,นั่งสมาธิ หรือเพลิดเพลินกับกิจกรรมอื่นแทน</li>
<li><b>0 ชั่วโมงก่อนนอน</b> - ไม่ควรตั้งเวลานาฟิกาปลุกแบบ เลื่อนปลุก</li>
</ul>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe width="320" height="266" class="YOUTUBE-iframe-video" data-thumbnail-src="https://i.ytimg.com/vi/ihsTONOFVic/0.jpg" src="https://www.youtube.com/embed/ihsTONOFVic?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></div>
<div>
<br /><br /><br /></div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-18928920649260340292017-09-10T20:24:00.000-07:002017-09-10T20:24:05.697-07:00หัวเชื้อจุลินทรีย์ EM<br />
<div style="text-align: center;">
<b>อีเอ็ม (EM) </b><br />
<b><br /></b></div>
ย่อมาจาก Effective Microorganism หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิงะ เริ่มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 และค้นพบอีเอ็ม เมื่อ พ.ศ. 2526 พบว่ากลุ่มจุลินทรีย์นี้ใช้ได้ผลจริง หลังจากนั้นศาสตราจารย์วาคุกามิ ได้นำมาเผยแพร่ในประเทศไทย<br /> ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิงะ พบว่ามีกลุ่มจุลินทรีย์อยู่ 3 กลุ่มรวมอยู่ในกระบวนปลูกพืชที่เกิดจากการหมัก งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นถึงจุลินทรีย์จำเพาะที่ดีที่มีอยู่ในดินและน้ำในสัดส่วนที่แน่นอน เขาจึงได้พัฒนาสูตรของ EM ในหัวเชื้อน้ำ EM ทางการค้า นั้นเป็นการผสมผสานของส่วนประกอบต่างๆ ของจุลินทรีย์หลายชนิดที่สามารถขยายส่วนทำเพิ่มเติมได้จากขนาดที่มีอยู่เดิมถึง 20 เท่า โดยการใส่หัวเชื้อน้ำ EM ผสมลงในน้ำและกากน้ำตาลจากนั้นก็หมักใส่ภาชนะปิดฝาไว้ประมาณ 3 วันถึงหนึ่งอาทิตย์หรือเป็นเดือนก็ได้ แล้วแต่วัตถุประสงค์ที่จะใช้ อีเอ็มเป็นของเหลวสีน้ำตาลดำซึ่งมีจุลินทรีย์ประมาณ 80 ชนิดที่สามารถย่อยสลาย อินทรียวัตถุ อีเอ็มสามารถใช้ในบ้านและครัวเรือนเหมือนกับสารธรรมชาติฆ่าเชื้อโรค เป็นตัวทำลายความสกปรกทั้งหลายช่วยให้เกิดการย่อยสลาย ไม่มีกาก ทำให้ส้วมไม่เต็ม ใช้กำจัดเศษอาหาร<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<b>ความสามารถและประโยชน์ในการใช้ EM</b></div>
1. สามารถใช้ในบ้านเรือน ในชีวิตประจำวันได้<br />
2. นำของเสียจากอาหารกลับมาใช้ใหม่และเพิ่มคุณค่าอินทรียวัตถุ<br />
3. ปรับปรุงโครงสร้างและคุณภาพดิน เพิ่มผลผลิต และกำจัดวัชพืชและโรคพืช<br />
4. แก้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำและดิน<br />
5. การทำเกษตรและพืชสวน ผลไม้ และการเพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับ<br />
6. ในการเลี้ยงสัตว์และปศุสัตว์<br />
7. ใช้ในการประมงสัตว์น้ำและสระว่ายน้ำ<br />
8. ในสุขภาพส่วนบุคคลและร่างกายช่วยป้องกันและรักษาปัญหาทางสุขภาพ<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<b>วีธีการขยาย EM</b></div>
EM 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำสะอาด 20 ส่วน หมักไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด<br />
อย่าให้อากาศเข้าได้เป็นเวลา 7 วัน แล้วนำมาใช้ให้หมดภายใน 7 วัน<br />
<b>วิธีการเก็บรักษา EM</b><br />
เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20 - 45 องศาเซลเซียส (อย่าเก็บในตู้เย็น) โดยปิดฝาให้สนิท<br />
<b>EM เสียสภาพ</b><br />
หาก EM เปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่า ถือว่า EM ตาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก<br />
ให้นำ EM ที่เสียผสมน้ำรดกำจัดหญ้าและวัชพืชที่ไม่ต้องการได้ กรณีเก็บไว้นาน ๆ จะมีฝ้าขาว<br />
เหนือผิวน้ำ แสดงว่า EM พักตัว เมื่อเขย่าภาชนะฝ้าขาวจะสลายตัวกลับไปอยู่ในน้ำเหมือนเดิมนำ<br />
ไปใช้ได้ เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำและกากน้ำตาล จะมีกลิ่นหอม และเป็นฟองขาว ๆ ภายใน 2-3<br />
วัน ถ้าไม่มีฟอง น้ำนิ่งสนิทแสดงว่าการหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล<br />
<br />
<hr />
<b>สูตรที่ 1 : การทำหัวเชื้อจุลินทรีย์</b><br />
<b><br /></b>
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. สับปะรด 3 ถ้วย<br />
2. น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย<br />
3. น้ำมะพร้าวสด 1 ถ้วย<br />
4. กากน้ำตาล หรือน้ำตาลทรายแดง 1 แก้ว<br />
5. ถังพลาสติก ขนาด 15-20 ลิตร 1 ใบ<br />
6. ผ้าขาวบาง เชือกฟาง<br />
7. ถ้วยพลาสติก (ถ้วยแกง)<br />
8. น้ำ<span style="white-space: pre;"> </span><br />
<br />
วิธีทำ<br />
1) นำเปลือกและเนื้อสับปะรดสับให้ละเอียด ตวงโดยใช้ถ้วยพลาสติก 3 ถ้วย ใส่ถัง<br />
ที่เตรียมไว้<br />
2) เติมน้ำซาวข้าว<br />
3) เติมน้ำมะพร้าวสด<br />
4) นำขั้นตอนที่ 1–3 คลุกเคล้าให้เข้ากัน<br />
5) เติมกากน้ำตาล 1 แก้ว จากนั้นคนให้เข้ากัน<br />
6) ใช้ผ้าขาวบางปิดปากถัง และใช้เชือกฟางรัดขอบถังให้แน่น<br />
7) ทำการหมักทิ้งไว้ 7 – 10 วัน น้ำสีน้ำตาลที่เกิดอยู่ในถังคือหัวเชื้อจุลินทรีย์<br />
<br />
หมายเหตุ : เก็บใส่ขวด ปิดฝาให้แน่นเก็บไว้ใช้ได้ 1 ปี ห้ามโดนแสงแดด และไม่ใส่ตู้เย็น ให้ตั้งไว้<br />
ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ และมีแสงพอประมาณ<br />
การขยายจุลินทรีย์ EM : ผสมจุลินทรีย์ EM 2 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำ 1 ลิตร<br />
เข้าด้วย ในขวดพลาสติกชนิดฝาเกลียวปิดฝาให้แน่น เก็บไว้ 5 วัน จะเป็นหัวเชื้อขยาย เป็นการนำ<br />
จุลินทรีย์มาขยายให้ได้จำนวนมาก ลดต้นทุนการนำไปใช้ หรือขยายต่อได้อีกเก็บได้นาน 3 เดือน<br />
ประโยชน์ : ใช้ทำจุลินทรีย์น้ำ ฮอร์โมน สารไล่แมลงและจุลินทรีย์แห้ง ฯลฯ<br />
<br />
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 2 : การทำฮอร์โมนผลไม้</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. มะละกอสุก 2 กิโลกรัม</div>
<div>
2. ฟักทองแก่จัด 2 กิโลกรัม</div>
<div>
3. กล้วยน้ำว้าสุก 2 กิโลกรัม</div>
<div>
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
5. กากน้ำตาล 1 แก้ว</div>
<div>
6. น้ำ 10 ลิตร</div>
<div>
<br />
วิธีทำ : หั่นมะละกอ ฟักทอง กล้วยทั้งเปลือกและเมล็ด ใส่ในถังพลาสติก แล้วผสม EM และกาก</div>
<div>
น้ำตาลอย่างละ 1 แก้ว ใส่น้ำ 10 ลิตร ปิดฝาให้แน่นหมักไว้ 7 – 8 วัน ก่อนใช้</div>
<div>
วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร สำหรับฉีดพ่น หรือรดไม้พืชหรือไม้ดอก</div>
<div>
ประโยชน์ : ทำให้ดอกติด ผลดก ขนาดโต น้ำหนักดี รสชาติอร่อย</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 3 : การทำฮอร์โมนยอดพืช</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. ยอด/ใบยูคาลิปตัส 1 กิโลกรัม</div>
<div>
2. ยอดสะเดา (ยอดและเมล็ด) 1 กิโลกรัม</div>
<div>
3. น้ำ 10 ลิตร</div>
<div>
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
5. กากน้ำตาล 1 แก้ว</div>
<div>
<br />
วิธีทำ<br />
1) นำใบหรือยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา และน้ำ 10 ลิตร (1 ถัง) ต้มรวมกันจนเหลือน้ำ</div>
<div>
ครึ่งถัง ทิ้งให้เย็น</div>
<div>
2) ผสมจุลินทรีย์ และกากน้ำตาล หมักไว้ 7 – 10 วัน</div>
<div>
วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร สำหรับฉีดพ่น หรือรดไม้พืชหรือไม้ดอก</div>
<div>
ประโยชน์ : ทำให้ดอกติด ผลดก ขนาดโต น้ำหนักดี บำบัดน้ำเสีย</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 4 : สูตรไล่หอย เพลี้ยไฟ</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. ยอดยูคาลิปตัส 2 กิโลกรัม</div>
<div>
2. ยอดสะเดา (20 ยอด) 2 กิโลกรัม</div>
<div>
3. ข่าแก่ 2 กิโลกรัม</div>
<div>
4. บอระเพ็ด 2 กิโลกรัม</div>
<div>
5. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
6. กากน้ำตาล 1 แก้ว<br />
<br /></div>
<div>
วิธีทำ<br />
1) นำยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา ข่าแก่ และบอระเพ็ด แต่ละอย่างแยกกันใส่ปี๊บ ใส่น้ำ</div>
<div>
ให้เต็ม ต้มให้เหลือน้ำอย่างละครึ่งปี๊บ ทิ้งไว้ให้เย็น</div>
<div>
2) นำมาเทรวมกันในถังใหญ่หรือโอ่ง ใส่จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว, กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝา</div>
<div>
ให้สนิททิ้งไว้ 5 วัน</div>
<div>
<br />
วิธีใช้ : ใช้ครึ่งแก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีด พ่น รด หรือราดในแปลงพืช ผัก ในนาข้าวเพื่อป้องกันใบ</div>
<div>
ข้าวไหม้<br />
<br /></div>
<div>
ประโยชน์ : สารไล่หอย กำจัดเพลี้ยไฟ บำบัดน้ำเสีย</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 5 : สูตรไล่แมลง</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
2. กากน้ำตาล 1 แก้ว</div>
<div>
3. น้ำส้มสายชู 5% 1 แก้ว</div>
<div>
4. เหล้าขาว 28–40 ดีกรี 2 แก้ว</div>
<div>
5. น้ำ 10 ลิตร</div>
<div>
<br />
วิธีทำ<br />
1) นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน ใส่ภาชนะปิดฝาให้สนิทหมักไว้ 7 – 10 วัน</div>
<div>
2) เขย่าถังเบา ๆ วันละอย่างน้อย 1 ครั้ง และเปิดฝานิด ๆ ให้ก๊าซระบายออก</div>
<div>
3) ครบกำหนดเทใส่ขวดพลาสติกปิดฝาเกลียว เก็บไว้ใช้ได้นาน 3 เดือน</div>
<div>
<br />
วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีด พ่น หรือราดไม้ใบ ไม้ผล พืชสวน ทุกสัปดาห์</div>
<div>
ประโยชน์ : สารไล่แมลงชนิดต่างๆ และบำบัดน้ำเสีย</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 6 : สูตรไล่แมลง (โดยใช้ลูกยอสุก)</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. ลูกยอสุก 1 กิโลกรัม</div>
<div>
2. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
3. กากน้ำตาล 1 แก้ว</div>
<div>
<br />
วิธีทำ : นำลูกยอสุกมาสับให้ละเอียด ใส่น้ำพอท่วมผสมจุลินทรีย์ EM กากน้ำตาล คนให้เข้ากัน</div>
<div>
หมักไว้ 10 วันแล้วกรองเอาแต่น้ำมาใช้</div>
<div>
<br />
วิธีใช้ : ใช้ 1 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร นำไปฉีด พ่น</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 7 : สูตรกำจัดไรในเห็ดและพืชต่าง ๆ</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. ใบน้อยหน่า 1 ถ้วย</div>
<div>
2. ต้นข่า 1 ถ้วย</div>
<div>
3 ตะไคร้หอม 1 ถ้วย</div>
<div>
4. กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 1 แก้ว</div>
<div>
5. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
6. น้ำ (ทิ้งไว้ 1 คืน) 1/2 ลิตร</div>
<div>
<br />
วิธีทำ <br />
1) นำใบน้อยหน่าสับละเอียด 1 ถ้วย ผสมต้นข่าสับละเอียด 1 ถ้วย จากนั้นใส่ตะไคร้หอม</div>
<div>
ที่สับละเอียด 1 ถ้วย คลุกเคล้าให้เข้ากัน</div>
<div>
2) เติมกากน้ำตาล และน้ำเปล่าลงไป ผสมให้เข้ากัน จากนั้นหมักไว้ 15 - 30 วัน</div>
<div>
<br />
วิธีใช้ : ใช้ 1 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร นำไปใช้ฉีดพ่น</div>
<div>
ประโยชน์ : กำจัดไรในเห็ดชนิดต่างๆ รวมทั้งพืชผัก บำบัดน้ำเสีย</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 8 : สูตรสารทำความสะอาด และลดมลพิษทางน้ำ</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. มะกรูด 1 ถ้วย</div>
<div>
2. กากน้ำตาล 1 แก้ว</div>
<div>
3. ผงขี้เถ้าผสมน้ำ หรือน้ำปูนใส 1 แก้ว</div>
<div>
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว</div>
<div>
5. น้ำ (ทิ้งไว้ 1 คืน) 1 แก้ว</div>
<div>
6. N70 (สารทำให้เกิดฟอง) 500 ซีซี</div>
<div>
<br />
วิธีทำ<br />
1) นำมะกรูดมาผ่าซีก ใส่กากน้ำตาล เติมน้ำเปล่า หมักทิ้งไว้ 3 เดือน</div>
<div>
2) เติมน้ำปูนใส (นำปูนแดงละลายน้ำ ปล่อยให้ตกตะกอน ตวงแต่น้ำใสด้านบนมาใช้)</div>
<div>
และสาร N70 (สารทำให้เกิดฟอง) หมักทิ้งไว้อีก 1 เดือน ก็จะนำมาใช้ได้</div>
<div>
<br />
วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่น รด</div>
<div>
ประโยชน์ : เป็นน้ำยาล้างจาน ใช้ถูพื้น กำจัดคราบและกลิ่น บำบัดน้ำเสีย</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 9 : การทำจุลินทรีย์น้ำ (ใช้ได้ทันที)</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. จุลินทรีย์ EM 1 ช้อนโต๊ะ</div>
<div>
2. กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ</div>
<div>
3. น้ำ 10 ลิตร</div>
<div>
<br />
วิธีทำ : นำจุลินทรีย์ EM และกากน้ำตาล ผสมน้ำให้เข้ากัน</div>
<div>
<br />
วิธีใช้ : พืช ผัก ใช้ฉีด พ่น ราด ทุก ๆ 3 วัน ไม้ดอก ไม้ผล พืชสวน ใช้ฉีด พ่นอยู่ ทุกๆ 7 วัน</div>
<div>
ประโยชน์ : บำบัดน้ำเสีย กำจัดกลิ่น</div>
<div>
<br /></div>
<hr />
<div>
<b>สูตรที่ 10 : สูตรน้ำซาวข้าว</b></div>
<div>
<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
1. น้ำซาวข้าว 2 ลิตร</div>
<div>
2. จุลินทรีย์ EM 4 ช้อนโต๊ะ</div>
<div>
<br />
วิธีทำ<br />
1) นำน้ำซาวข้าว ประมาณ 2 ลิตร (หากไม่ถึง 2 ลิตร ให้เติมน้ำสะอาดลงไป)</div>
<div>
2) ใส่จุลินทรีย์ EM 4 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วบรรจุในขวดพลาสติกชนิดฝาเกลียว</div>
<div>
ปิดฝาให้สนิท</div>
<div>
3) เก็บไว้ 4 วัน น้ำที่ได้มีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมจึงนำไปใช้</div>
<div>
วิธีใช้ 1. ใช้แทนผงซักฟอก โดยใช้สูตรน้ำซาวข้าว ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:20 แช่ผ้าทิ้งไว้ 1 คืน</div>
<div>
กรณีใช้เครื่องซักผ้า ประมาณ 500 ซีซี วันรุ่งขึ้นซักน้ำสะอาด และนำผ้าตากให้แห้ง ผ้าจะสะอาด</div>
<div>
ไม่กระด้าง รีดง่าย</div>
<div>
2. ใช้เป็นสเปรย์ดับกลิ่น โดยนำสูตรน้ำซาวข้าวใส่ขวดที่มีหัวฉีดเป็นละออง ดับกลิ่น</div>
<div>
เหม็นติดเสื้อผ้า กลิ่นอับในรถยนต์</div>
<div>
3. ใช้ผสมน้ำถูพื้นบ้าน พื้นครัว (อัตราส่วนต้องดูตามความสกปรก)</div>
<div>
4. กรณีที่มีตะกอนที่ก้นขวด ให้ใช้เฉพาะน้ำที่ใสเท่านั้น</div>
<div>
5. ใช้ให้หมดภายในเวลาประมาณ 4 วัน</div>
<div>
<br />
ประโยชน์ : ถูพื้น ทำความสะอาด ซักผ้า ดับกลิ่น บำบัดน้ำเสีย<br />
<br /></div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-40101537882111013102017-03-14T17:29:00.000-07:002017-03-14T17:29:19.714-07:009 เคล็ดลับมืออาชีพในการภาพถ่ายให้ดูดีที่สุด<h1 style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 40px; line-height: 48px; margin: 0px; padding: 0px 0px 17px;">
Nine professional tips for looking your best in photos</h1>
<div>
<div id="js-block-670555" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
In our day and age, we’ve grown so used to posing for photos that we can hardly imagine things being otherwise. And yet, in most cases, this boils down to taking rushed selfies with our smartphones. It is quite another thing to undertake a fully-fledged photo shoot without relying on countless electronic filters to rectify your mistakes. Only a professionally made picture can truly capture the way we look, by showing both our blemishes and the features that make us attractive.</div>
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
Especially for <strong>Bright Side</strong>, Roman Zakharchenko, an expert photographer, offers some invaluable advice that will help you look flawless in every picture!</div>
</div>
<div id="js-block-670605" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Try to avoid making low-angle shots</h3>
</div>
<div id="js-block-670655" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8725860" name="image8725860" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8725860" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807955-1-1470389521-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807955-1-1470389521-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-670705" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px;">
Taking photos from a low angle makes portraits look more tense and is likely to ’add pounds.’ It is best to take photos of yourself and others at eye level — this will ensure that you won’t make your photo subjects look bulky or ’give’ them a massive double chin.</div>
</div>
<div id="js-block-670755" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Don’t go for high-angle shots</h3>
</div>
<div id="js-block-670805" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8725910" name="image8725910" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8725910" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808055-9-1470389859-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808055-9-1470389859-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-670855" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px;">
High-angle shots make your head look disproportionately big compared to the rest of your body. Still, you might risk it if you want to go for something extra cute, like that famous Puss In Boots shot from <em>Shrek</em>!</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CK7q9u6Z19ICFdcjaAodDesL9A" id="div-gpt-ad-3969161351481-1-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_0__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_0" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CMb37e-Z19ICFRGjaAodVQEFPw" id="div-gpt-ad-2723315465053-1-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_1__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_1" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-670905" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Identify your ’lucky’ side</h3>
</div>
<div id="js-block-670955" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8725960" name="image8725960" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8725960" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808105-2-1470389581-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808105-2-1470389581-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671005" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px;">
Nearly everyone’s facial features are asymmetric. Therefore, you’d be wise to identify your best-looking side and make sure that it faces the camera during the entire photo shoot.</div>
</div>
<div id="js-block-671055" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Don’t draw your cheeks in</h3>
</div>
<div id="js-block-671105" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8726010" name="image8726010" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8726010" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808005-6-1470389749-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808005-6-1470389749-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671155" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px; text-align: center;">
If you want to make your cheeks appear less prominent, don’t draw them in. Simply turn your face three-quarters away from the camera, and press your tongue to the roof of your mouth.</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="COyS6v2f19ICFRNmjgodWXgCjQ" id="div-gpt-ad-3026850027510-2-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_2__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_2" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CPO34v6f19ICFQbHjgodN8cNAQ" id="div-gpt-ad-8384368662217-2-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_4__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_4" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-671205" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Master the art of squinting</h3>
</div>
<div id="js-block-671255" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8726060" name="image8726060" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8726060" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807855-3-1470389655-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807855-3-1470389655-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671305" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px;">
Keeping your eyes wide open and your brows raised gives your face a surprised and somewhat alarmed expression. During photo sessions, it is best to keep your eyes slightly narrowed — this will make your gaze more confident and compelling.</div>
</div>
<div id="js-block-671355" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Try not to scowl</h3>
</div>
<div id="js-block-671405" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8726110" name="image8726110" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8726110" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808205-8-1470389813-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808205-8-1470389813-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671455" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px; text-align: center;">
Not only does scowling create a threatening impression, such posture also makes your nose appear longer! The right way to present yourself during a photo shoot is to look straight at the camera.</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CMHlpv6f19ICFV6fjgod19EKzA" id="div-gpt-ad-2835031360309-3-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_3__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_3" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CIywsP-f19ICFUYSaAodKr0Gpg" id="div-gpt-ad-9628759846683-3-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_5__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_5" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-671505" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Lift your chin up</h3>
</div>
<div id="js-block-671555" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8726160" name="image8726160" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8726160" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807805-4-1470389693-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807805-4-1470389693-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671605" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px;">
When photographing yourself from the side, raise your chin slightly to give your face more expression. Thanks to this simple trick, your cheeks and neck will appear more slender.</div>
</div>
<div id="js-block-671655" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Don’t puff your lips</h3>
</div>
<div id="js-block-671705" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8726210" name="image8726210" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8726210" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808155-7-1470389831-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5808155-7-1470389831-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671755" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px;">
When sending an air kiss to the camera, try not to go over the top with your acting. Otherwise, it might look like you’re blowing a raspberry!</div>
</div>
<div id="js-block-671805" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
Smile naturally</h3>
</div>
<div id="js-block-671855" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/inspiration-tips-and-tricks/nine-professional-tips-for-looking-your-best-in-photos-212155/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image8726260" name="image8726260" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="8726260" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807905-5-1470389714-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" src="https://files.brightside.me/files/news/part_21/212155/5807905-5-1470389714-1000-5c9bec57e2-1484149902.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-671905" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px; text-align: center;">
A light and reserved smile is certain to make your features more pleasant, while a wide grin will only highlight any wrinkles.</div>
<div class="adme-img-description" style="margin-top: -15px; padding: 0px 0px 16px; text-align: center;">
</div>
</div>
<div id="js-block-671955" style="background-color: white;">
<h3 style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 0px 0px 5px; text-align: center;">
And remember — the beauty of a photo portrait depends entirely on the skills of the photographer!</h3>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px;">
<span style="text-align: right;">Model: Anastasia Naumova</span></div>
<div>
<span style="text-align: right;"><span style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif;">https://brightside.me/</span></span></div>
</div>
</div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-61860374955029362672017-03-14T17:25:00.000-07:002017-03-14T17:25:03.359-07:0010 วิธีในการค้นหาข้อมูล google ขั้นเทพน้อยคนที่จะรู้<h1 style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 40px; line-height: 48px; margin: 0px; padding: 0px 0px 17px;">
10 Ways to Search Google for Information That 96% of People Don’t Know About</h1>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-article-share-top" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842010" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
In our era of advanced technology and high-speed Internet connections, you can find information on virtually anything. In the space of just a few minutes, we can find recipes for the tastiest pie or learn all about the theory of wave-particle duality.</div>
</div>
<div id="js-block-1842060" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
But more often than not, we have to sift through a vast body of knowledge to get the information we need, and this can take hours rather than minutes. This is why <strong>Bright Side </strong>has put together a list of the most effective methods for searching Google to help you find the precious material you’re looking for in just a couple of clicks.</div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
1. Either this or that</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1842110" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842160" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
Sometimes we’re not sure that we’ve correctly remembered the information or the name we need to start our search. But this doesn’t have to be a problem! Simply put in a few potential variations of what you’re looking for, and separate them by typing the “|“ symbol. Instead of this symbol you can also use ”or." Then it’s easy enough to choose the result that makes the most sense.</div>
</div>
<div id="js-block-1842210" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416260" name="image7416260" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416260" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415760-ScreenShot2016-11-03at110715-1478160463-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="547" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415760-ScreenShot2016-11-03at110715-1478160463-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CJXbreib19ICFUKKaAod6EgCeQ" id="div-gpt-ad-2613925461779-1-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_0__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_0" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CPOcoOmb19ICFVaHaAodDx4Gnw" id="div-gpt-ad-8512343011751-1-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_1__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_1" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
2. Searching using synonyms</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1842260" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842310" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
Our language is rich in synonyms. Sometimes this can be very convenient when doing research online. If you need to find websites on a given subject rather than those that include a specific phrase, add the "~" symbol to your search.</div>
</div>
<div id="js-block-1842360" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
For example, if you search for the term "healthy ~food" you’ll get results about the principles of healthy eating, cooking recipes, as well as healthy dining options.</div>
</div>
<div id="js-block-1842410" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416310" name="image7416310" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416310" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415810-ScreenShot2016-11-03at111127-1478160708-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="513" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415810-ScreenShot2016-11-03at111127-1478160708-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
3. Searching within websites</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1842460" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842510" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
Sometimes you read an interesting article on a website and find yourself subsequently wanting to share it with your friends or simply reread it. The easiest way to find the desired piece of information again is to search within the website. To do this, type the address of the site, then a key word or entire phrase from the article, and it should come up immediately.</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CJTv1Z6c19ICFU-kjgodC1QFXw" id="div-gpt-ad-6809262324452-2-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_0__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_0" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CJSNz5-c19ICFUktjgodgzIOWQ" id="div-gpt-ad-8742578819865-2-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_1__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_1" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-1842560" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416360" name="image7416360" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416360" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415860-ScreenShot2016-11-03at111259-1478160824-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="346" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415860-ScreenShot2016-11-03at111259-1478160824-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
4. The power of the asterisk</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1842610" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842660" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
When our cunning memory decides to prevent us from recalling that one key word, phrase, or number we need in order to find what we’re looking for, you can turn to the powerful "*" symbol. Just use this in the place of the word/phrase you can’t remember, and you should be able to find the results you’re looking for.</div>
</div>
<div id="js-block-1842710" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416410" name="image7416410" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416410" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415910-ScreenShot2016-11-03at111737-1478161076-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="354" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415910-ScreenShot2016-11-03at111737-1478161076-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
5. When lots of words are missing</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1842760" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842810" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
If it’s the lengthier half of the phrase you can’t remember rather than a single key word, try writing out the first and last words and putting “AROUND + (the approximate number of missing words)“ between them. For example, ”I wandered AROUND(4) cloud."</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CISF2eOc19ICFQaQjgodA5QCoA" id="div-gpt-ad-5365877665149-3-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_2__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_2" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CPvZz-Sc19ICFVEtjgoda8cHlA" id="div-gpt-ad-9572699258527-3-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_3__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_3" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-1842860" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416460" name="image7416460" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416460" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415960-ScreenShot2016-11-03at112307-1478161411-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="358" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7415960-ScreenShot2016-11-03at112307-1478161411-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
6. Using a time frame</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1842910" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1842960" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
Sometimes we urgently need to acquaint ourselves with events that occurred during a certain period of time. To do so, you can add a time frame to your search query with the help of three dots between the dates. For example, if we want to find out about scientific discoveries during the 20th century, we can write:</div>
</div>
<div id="js-block-1843010" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416510" name="image7416510" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416510" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416010-ScreenShot2016-11-03at112446-1478161499-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="388" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416010-ScreenShot2016-11-03at112446-1478161499-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
7. Searching for a title or URL</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1843060" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1843110" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
To help find the key words and name of an article, type “intitle:“ before the search term, without any spaces between them. In order to find the words from a URL, use ”inurl:".</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CPHP4-uc19ICFQWFaAodcLcBbQ" id="div-gpt-ad-5375557495925-4-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_4__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_4" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CJ2fiu2c19ICFUUtjgodBhcNUA" id="div-gpt-ad-2953036842704-4-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_2__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x4_2" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-1843160" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416560" name="image7416560" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416560" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416060-ScreenShot2016-11-03at112604-1478161588-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="354" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416060-ScreenShot2016-11-03at112604-1478161588-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
8. Finding similar websites</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1843210" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1843260" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
If you’ve found something you really like online and want to find similar websites, type in "related:" and then the address of the site, again without a space between them.</div>
</div>
<div id="js-block-1843310" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416610" name="image7416610" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416610" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416110-ScreenShot2016-11-03at112711-1478161644-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="347" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416110-ScreenShot2016-11-03at112711-1478161644-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
9. Whole phrases</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1843360" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1843410" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
Framing the search term within quotation marks is the simplest and most effective way to find something specific and in the exact order you typed it in.</div>
</div>
<div id="js-block-1843460" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
For example, if you type in the words <em>I’m picking up good vibrations</em> without quotation marks, the search engine will show the results where these words appear in any order on a website, as opposed to the specific order in which you typed them.</div>
</div>
<div id="js-block-" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div class="inread-desktop-container" data-state="rendered" style="margin: 0px auto; width: 650px;">
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CNn4_-uc19ICFVxmjgodg6MGsw" id="div-gpt-ad-8316998234100-5-0" style="float: left; height: 250px; margin: 10px 45px 25px auto; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_5__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_5" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
<div class="dfp-ad-block-div" data-google-query-id="CLrL_eyc19ICFVAkaAod9bUJ-w" id="div-gpt-ad-8565017254686-5-1" style="float: left; height: 250px; margin: 10px auto 25px; width: 300px;">
<div id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_7__container__" style="border: 0pt none; height: 250px; margin: auto; text-align: center; width: 300px;">
<iframe data-is-safeframe="true" frameborder="0" height="250" id="google_ads_iframe_/47947404/article-inread-desktop-rect-x2_7" marginheight="0" marginwidth="0" name="" scrolling="no" src="https://tpc.googlesyndication.com/safeframe/1-0-6/html/container.html" style="border-style: initial; border-width: 0px; vertical-align: bottom;" title="3rd party ad content" width="300"></iframe></div>
</div>
</div>
</div>
<div id="js-block-1843510" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
If, on the other hand, you type "I’m picking up good vibrations" within quotation marks, you’ll get only those results where these words appear only in the order you typed them in. This is a great way to find the lyrics to a song when you only know one line from it.</div>
</div>
<div id="js-block-1843560" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416660" name="image7416660" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416660" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416160-ScreenShot2016-11-03at113146-1478162019-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="391" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416160-ScreenShot2016-11-03at113146-1478162019-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
<h3 style="font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
10. Unimportant search words</h3>
<h3 style="font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 26px; font-weight: normal; line-height: 38px; margin: 0px; padding: 32px 0px 5px; text-align: center;">
<div id="js-block-1843610" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
</div>
<div id="js-block-1843660" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
To remove unimportant search words from your query, simply write a minus symbol before each one. For example, if you want to find a site about interesting books, but you aren’t looking to buy them, you can write the following:</div>
</div>
<div id="js-block-1843710" style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; text-align: start;">
<div style="padding: 0px 0px 16px;">
<a class="article-integrated-image-anchor js-gif-play" href="https://brightside.me/wonder-curiosities/10-ways-to-search-google-for-information-that-96-of-people-dont-know-about-256760/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts#image7416710" name="image7416710" style="clear: both; color: #0064af; display: block; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><span class="article-pic js-article-image " data-id="7416710" style="display: inline-block; position: relative;"><img border="0" data-social="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416210-ScreenShot2016-11-03at113424-1478162079-650-32e9147584-1478172290.jpg" height="352" src="https://files.brightside.me/files/news/part_25/256760/7416210-ScreenShot2016-11-03at113424-1478162079-650-32e9147584-1478172290.jpg" style="border: 0px; max-width: 100%; vertical-align: top;" width="650" /></span></a></div>
</div>
</h3>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-87879460746255409262017-01-09T07:02:00.000-08:002017-01-09T07:03:53.361-08:00ข้าวราดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น (คะเระ ไรอิสึ - Kare raisu) <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghwyLk9h5MoF8VMlLB3IXjEDrUa3zECo3HDRA5kG102OglLDpEGkcccK7iZ75nQlyozl8MAqwemcE0UnQAtsVtCDZkoyLSVDVZlbE5PLe_-jZ8AI3yqFdAdcMkKbCEJIk2U8qOLdkf0Mg/s1600/1164416910.gif"><img border="0" height="570" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghwyLk9h5MoF8VMlLB3IXjEDrUa3zECo3HDRA5kG102OglLDpEGkcccK7iZ75nQlyozl8MAqwemcE0UnQAtsVtCDZkoyLSVDVZlbE5PLe_-jZ8AI3yqFdAdcMkKbCEJIk2U8qOLdkf0Mg/s640/1164416910.gif" width="640" /></a><br /><br /><br /><br /><br />คะเระ ( kare - カレー ) หมายถึง.... แกงกะหรี่ <br /><br />ไรอิสึ ( raisu - ライス ) หมายถึง.....ข้าว <br /><br /><br /><br /><br />เครื่องปรุงหลักที่สำคัญในการทำแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่นก็คือ.....Japanese Curry Paste....( Kare - Raisu Pesuto = เครื่องแกงกระหรี่แบบสำเร็จรูป - คะเรรูว์) <br /><br />เครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูป (คะเรรูว์)นั้น....มีหลากหลายยี่ห้อให้เลือก และมีการแบ่งระดับของความเผ็ด (แต่ขนาดที่เผ็ดมากสุดของญี่ปุ่นนั้น.... ก็ยังไม่เผ็ดเท่าเครื่องแกงของไทยเราหรอกนะค่ะ)<br /><br />ขนาดของความเผ็ดแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ<br /><br />- เผ็ดน้อย ( 甘口 - Ama Kuchi )<br />- เผ็ดปานกลาง ( 中辛 - Chuu Gara )<br />- เผ็ดมาก ( 辛口 - Karai Kuchi )<br /><br />เวลาเลือกซื้อคะเรรูว์ให้สังเกตุตัวหนังสือที่เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น ดังรูปด้านล่าง (จะเห็นเป็นตัวหนังสือกำกับอยู่ด้านหน้าของกล่อง) อย่าดูที่สีของกล่อง ..เพราะแต่ละยี่ห้อ จะกำหนดสีของกล่องไว้ไม่เหมือนกัน<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhho3ZVYuMFVwXwdS4ibaS6lEj4tZvXZ9TBwGd0hmwsAJRz3FMs13HUcWV6qSbo_X2SUwqq9jd5mF8jv1va6pMTzZFsiHObA1NlA_cVZHjCrFnTCs6frwX7SoDGlU1ckuhZgAhXV_ZD6Iw/s1600/1164417587.gif"><img border="0" height="373" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhho3ZVYuMFVwXwdS4ibaS6lEj4tZvXZ9TBwGd0hmwsAJRz3FMs13HUcWV6qSbo_X2SUwqq9jd5mF8jv1va6pMTzZFsiHObA1NlA_cVZHjCrFnTCs6frwX7SoDGlU1ckuhZgAhXV_ZD6Iw/s640/1164417587.gif" width="640" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br />สูตรและวิธีทำที่เขียนครั้งนี้....แปลจากที่เค้าเขียนกำกับไว้ด้านหลังของกล่องเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูป แต่ละยี่ห้อของ "คะเระรูว์" อาจจะมากน้อยต่างกันนิดหน่อยค่ะ อาจจะใส่ แอ๊ปเปิ้ลฝนละเอียด หรือใช้ผักอย่างอื่นแทนก็ได้...แล้วแต่ความชอบของแต่ละบ้านค่ะ<br /><br />ส่วนผสม..... (สำหรับ 3-4 คน)<br /><br />- เนื้อวัว หรือ เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ (ตามชอบ) ....... 200 กรัม<br />- มันฝรั่ง....... 150 กรัม<br />- แครรอท...... 100 กรัม<br />- หอมหัวใหญ่..... 300 กรัม<br />- น้ำสะอาด....... 450 ซีซี<br />- นมสด หรือครีมสด....... 50 ซีซี (ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่ แต่ให้ไปเพิ่มในส่วนของน้ำสะอาดอีก 50 ซีซี<br />- น้ำมันพืช...... 1 ช้อนโต๊ะ<br />- ก้อนแกงกะหรี่ญี่ปุ่นสำเร็จรูป (kareruu)...... 100 กรัม<br /><br />วิธีทำ .ดูรูปประกอบ.... <br /><br />1. เนื้อล้างน้ำให้สะอาด ซับให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นพอคำ หรือจะใช้เป็นเนื้อสไลด์ หรือสับหยาบ ๆ ก็ได้ตามสะดวกค่ะ (แต่ถ้าหั่นเป็นก้อน อย่าให้ชิ้นใหญ่มาก...เพราะจะต้องต้มนาน กว่าเนื้อจะเปื่อย<br /><br />2. มันฝรั่งปอกเปลือก ล้างน้ำสะอาด หั่นชิ้นพอคำ ควรหั่นให้ชิ้นใหญ่กว่าแครอทหน่อยค่ะ เวลาต้มจะได้สุกพร้อมๆ กัน <br /><br />3. แครอท ปอกเปลือกล้างสะอาด หั่นชิ้นพอคำ<br /><br />4. หอมหัวใหญ่ปอกเปลือก ล้างสะอาด ผ่าครึ่งลูก แล้วผ่า 4 <br /><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHBau1L1RSe03oD-cwziFhVtc8ZT9JJSOPbfPZUdXOLSTM_SMs7kjUa-slOyVNGVEQvPfSYZezhuIJbuHI1hQbwNl8pZIRfwYmoBNaV5Bi7lyA72krxkTR8NM2-u4-eIm-bjIJPyH9y-s/s1600/1164418088.gif"><img border="0" height="474" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHBau1L1RSe03oD-cwziFhVtc8ZT9JJSOPbfPZUdXOLSTM_SMs7kjUa-slOyVNGVEQvPfSYZezhuIJbuHI1hQbwNl8pZIRfwYmoBNaV5Bi7lyA72krxkTR8NM2-u4-eIm-bjIJPyH9y-s/s640/1164418088.gif" width="640" /></a><br /><br /><br /><br /><br />นำกะทะ หรือหม้อ (ที่ไม่ติด) ตั้งเตาไฟ ใส่น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ พอน้ำมันร้อน นำหอมหัวใหญ่ที่เตรียมไว้ลงไปผัด (ผัดแค่แป๊ปเดียว ให้ใส่เนื้อลงไปผัดให้เนื้อสุกเหลือง จึงใส่แครอทลงไป ผัดต่ออีกซักพัก ใส่มันฝรั่งเป็นอันดับสุดท้าย ผัดต่อให้มันฝรั่งและแครอทโดนน้ำมันทั่ว <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVMuVr-3a9WvO6FoENgivVmsnuNO5oSNWOvb9nekrdLNEcjk7gSElz4iXZqv7Rmw7o4FAE5XNHkfInMbakccRet92jrhhXSbimzosoQDgKxxnvHtdf_t-UBVTTgCyetXn8FnHIlftzCuU/s1600/1164418426.gif"><img border="0" height="243" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVMuVr-3a9WvO6FoENgivVmsnuNO5oSNWOvb9nekrdLNEcjk7gSElz4iXZqv7Rmw7o4FAE5XNHkfInMbakccRet92jrhhXSbimzosoQDgKxxnvHtdf_t-UBVTTgCyetXn8FnHIlftzCuU/s640/1164418426.gif" width="640" /></a><br /><br /><br /><br /><br />เติมน้ำสะอาดลงไป 450 ซีซี (รูปด้านซ้าย) ปิดฝาต้มด้วยไฟกลาง พอเดือดแล้วหรี่เป็นไฟอ่อน ต้มต่ออีกประมาณ 20 นาที ( คอยช้อนฟองออกทิ้งด้วยนะค่ะ )<br />ที่บ้านชอบให้แกงออกรสหวานหน่อย ก็เพิ่มแอ๊ปเปิ้ลหั่นสับหยาบ ๆ ลงไปสักครึ่งลูก (รูปด้านขวา) หรือจะใส่เห็ด , ผักอื่น ๆ ตามชอบก็ได้ค่ะ<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitOvzwxLsyKTq-vD7k6buy9Yce-eJC_WRe-QKXDnClh5-pAL5qenJsokWFeJvZ0NUwKy6-Q7Xvud_ysUjyNQPbk7yov1n4kZsAPSVtF47VMkuZA9NjEBbQH8KrymblaYk5TNfJi-6JgZ0/s1600/1164673453.gif"><img border="0" height="288" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitOvzwxLsyKTq-vD7k6buy9Yce-eJC_WRe-QKXDnClh5-pAL5qenJsokWFeJvZ0NUwKy6-Q7Xvud_ysUjyNQPbk7yov1n4kZsAPSVtF47VMkuZA9NjEBbQH8KrymblaYk5TNfJi-6JgZ0/s640/1164673453.gif" width="640" /></a><br /><br />ในกรณีที่จะเพิ่มผักอื่น ๆ....ก็ให้ใส่ต่อจากขั้นตอนที่แล้ว หลังจาก ใส่ลงไปแล้ว ให้ต้มต่ออีกสักพัก จนเนื้อและแครอทนิ่ม ลองใช้ไม้จิ้มแครอทดูก็ได้ค่ะ ว่านิ่มหรือยัง ส่วนมันฝรั่งไม่ต้องห่วง เพราะสุกง่ายอยู่แล้ว<br /><br />รูปด้านซ้าย.......แกะกล่องและบิก้อนเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปเตรียมไว้ ที่บ้านมักจะใช้เครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปอย่างน้อย 2 ยี่ห้อ (( เพราะแต่ละยี่ห้อ รสชาดไม่เหมือนกัน )) อันนี้...ก็ได้เคล็ดลับมาจากเพื่อนคนญี่ปุ่น เค้าบอกว่าจะทำให้รสชาดของแกงกลมกล่อมขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ทำบ่อย ๆ ก็แค่ใช้ยี่ห้อเดียวได้ค่ะ<br /><br />หลังจากที่เนื้อและผักทุกอย่างเปื่อยได้ที่แล้ว ให้ปิดไฟเตาแก๊ส ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ ปล่อยให้อุณหภูมิของแกงลดลงหน่อย (ประมาณ 5-10 นาที) แล้วจึงบิเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปใส่ลงไป (รูปด้านขวา) อย่าเพิ่งใส่ให้หมดกล่องนะค่ะ คนให้เครื่องแกงกะหรี่ละลาย แล้วชิมรสดูก่อน ถ้ารสเข้มข้นไม่พอค่อยใส่เพิ่ม ((ยังไม่ต้องติดไฟเตานะค่ะ)<br /><br />อ้อ...เครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูป ถ้าใช้ไม่หมด....ให้นำใส่กล่องปิดฝา หรือใส่ถุงพลาสติก ปิดให้แน่น เก็บเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา จะได้เอาไว้ใช้ในคราวต่อไปได้ค่ะ <br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRvp4SO1Uqo3QEaX5u1BdeH0pYP1GIkAiSCzuTEzKXRt7DYf67JOmokf0iaEG8reY5fdwm01IspsBSwYarKH-koUW2MzjSxcLuI-h8nhVufhyphenhyphen3xFx7WJ9Uaa-T0tgUoJPizXFNOK9TgLo/s1600/1164673693.gif"><img border="0" height="239" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRvp4SO1Uqo3QEaX5u1BdeH0pYP1GIkAiSCzuTEzKXRt7DYf67JOmokf0iaEG8reY5fdwm01IspsBSwYarKH-koUW2MzjSxcLuI-h8nhVufhyphenhyphen3xFx7WJ9Uaa-T0tgUoJPizXFNOK9TgLo/s640/1164673693.gif" width="640" /></a><br /><br />หลังจากใส่เครื่องแกงกะหรี่ลงไปแล้ว คนให้เครื่องแกงละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ให้ดูข้นและเหนียว ชิมรสดู ถ้ารสกลมกล่อมถูกใจแล้ว ให้เปิดไฟเตาแก๊สอีกครั้ง ต้มเคี่ยวต่อไปอีกสักพัก (หมั่นคนบ่อย ๆ ไม่งั้น....จะไหม้ติดก้นหม้อ) พอแกงเดือดอีกครั้งก็เสร็จ ตักเสริฟ์ได้<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpu_QU5YUkULb_IjBbDn5sHGJNB10mTCE1OHDFYji1Bt6ooFs6IkPifLPLZLdOayjsTXmE2E1pSe99Djqe4JKm6-QRRfyhvSNuLirUAwSMBqzEwIyXCpTUjq-dZCoAmq4Jp4_m99hFun4/s1600/1164673865.gif"><img border="0" height="479" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpu_QU5YUkULb_IjBbDn5sHGJNB10mTCE1OHDFYji1Bt6ooFs6IkPifLPLZLdOayjsTXmE2E1pSe99Djqe4JKm6-QRRfyhvSNuLirUAwSMBqzEwIyXCpTUjq-dZCoAmq4Jp4_m99hFun4/s640/1164673865.gif" width="640" /></a><br /><br />สำหรับคนที่ชอบแกงมีรสเข้มข้นและกลมกล่อมขึ้น....ให้เพิ่มนมสด หรือ ครีมสด เติมลงไปนิดหน่อย (ประมาณ 50 ซีซี) ในขั้นตอนที่ข้างต้น แล้วต้ม+คนให้เข้ากันดี<br /><br />เสร็จพร้อมเสริฟ์....เครื่องปรุงและวิธีการทำไม่ยุ่งยากเลย....กลิ่นแกงหอมฟุ้ง...... ตักข้าวสวยใส่จานไว้ข้างหนึ่ง ตักแกงกะหรี่ราดไว้อีกข้างหนึ่ง ทานแกล้มกับผักดองแบบหวาน....อร่อยมาก ๆ ค้า<br /><br />** แกงกะหรี่ญี่ปุ่น....ถ้าทำแล้วทานไม่หมด วันรุ่งขึ้นนำมาอุ่นให้ร้อน รสจะอร่อยกว่า ตอนที่ทำเสร็จใหม่ ๆ เสียอีกค่ะ เพราะน้ำแกงจะซึมเข้าเนื้อ** <img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEj3OOV0ewVfoAVDq3cIyJ3GzBFz-g5-tIlHkfKSflQC1j6xD1a2dUZY2wM_P9eWkus3HF053i87kerp11pkCuS8yX94wItamfXpuqCeYSGvm9VP3GGii_UoPXFl4-tQEYqk2O4EUw=" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEj3OOV0ewVfoAVDq3cIyJ3GzBFz-g5-tIlHkfKSflQC1j6xD1a2dUZY2wM_P9eWkus3HF053i87kerp11pkCuS8yX94wItamfXpuqCeYSGvm9VP3GGii_UoPXFl4-tQEYqk2O4EUw=" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEj3OOV0ewVfoAVDq3cIyJ3GzBFz-g5-tIlHkfKSflQC1j6xD1a2dUZY2wM_P9eWkus3HF053i87kerp11pkCuS8yX94wItamfXpuqCeYSGvm9VP3GGii_UoPXFl4-tQEYqk2O4EUw=" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEj3OOV0ewVfoAVDq3cIyJ3GzBFz-g5-tIlHkfKSflQC1j6xD1a2dUZY2wM_P9eWkus3HF053i87kerp11pkCuS8yX94wItamfXpuqCeYSGvm9VP3GGii_UoPXFl4-tQEYqk2O4EUw=" /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEj3OOV0ewVfoAVDq3cIyJ3GzBFz-g5-tIlHkfKSflQC1j6xD1a2dUZY2wM_P9eWkus3HF053i87kerp11pkCuS8yX94wItamfXpuqCeYSGvm9VP3GGii_UoPXFl4-tQEYqk2O4EUw=" /><div>
<br /><div>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtJJd34CFLHf6vd3fbQPKEiIH8ZXdo7eHXuimghfyZuFYdZqk4Wm-4jKAJysBLSQpNXbWxdc44O4RLZC6LhCUy5gh3MA9qQdw-0OWMSWsRkucQsbdLhxZj7e30voAU5WizO4saBjiHCJw/s1600/1164674201.jpg"><img border="0" height="479" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtJJd34CFLHf6vd3fbQPKEiIH8ZXdo7eHXuimghfyZuFYdZqk4Wm-4jKAJysBLSQpNXbWxdc44O4RLZC6LhCUy5gh3MA9qQdw-0OWMSWsRkucQsbdLhxZj7e30voAU5WizO4saBjiHCJw/s640/1164674201.jpg" width="640" /></a><br /><br />ผักดองแบบหวาน...ที่มักจะนำมาทานแก้เลี่ยน คู่กับ ข้าวราดแกงกระหรี่แบบญี่ปุ่น<br /><br />รักเกียว.... คล้ายกระเทียมดอง รสออกหวานเปรี้ยว<br /><br />ฟุคุจิง ทสึเกะ....ทำมาจากหัวผักกาด (ไชเถ้า) หั่นชิ้นบาง ๆ แล้วนำมาดอง รสออกหวาน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxkP0ATai1CKNGrF3ykkKLYhgf8Lfk2Pz0eeu1oZyu9KqUXbxh1qe0YO8aL-Zp7frTcorT8LI5RVnS-cy_d5ACx8HGbZQr1GLo1WhLs32nGWad8LDaES9PkNF6HO07XzIoe_yBkHZX8dg/s1600/1164674451.gif"><img border="0" height="329" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxkP0ATai1CKNGrF3ykkKLYhgf8Lfk2Pz0eeu1oZyu9KqUXbxh1qe0YO8aL-Zp7frTcorT8LI5RVnS-cy_d5ACx8HGbZQr1GLo1WhLs32nGWad8LDaES9PkNF6HO07XzIoe_yBkHZX8dg/s640/1164674451.gif" width="640" /></a><br /><br />ขอจบวิธีการนำเสนอ...."แกงกระหรี่แบบญี่ปุ่น" ไว้แค่นี้ก่อน ...เพื่อน ๆ ลองปรับเปลี่ยนทำทานกันดูและขอให้อร่อยกันทั้งครอบครัวนะค่ะ<br /><br />ในส่วนของ...เนื้อสัตว์..นั้น...จะหั่นเป็นก้อน หรือ หั่นบาง ๆ หรือ สับหยาบ ๆ ได้ตามความชอบของผู้ทานค่ะ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tao-yiipun&month=25-11-2006&group=2&gblog=1</div>
</div>
<!-- Blogger automated replacement: "https://images-blogger-opensocial.googleusercontent.com/gadgets/proxy?url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Femo%2Femo12.gif&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*" with "https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEj3OOV0ewVfoAVDq3cIyJ3GzBFz-g5-tIlHkfKSflQC1j6xD1a2dUZY2wM_P9eWkus3HF053i87kerp11pkCuS8yX94wItamfXpuqCeYSGvm9VP3GGii_UoPXFl4-tQEYqk2O4EUw=" -->Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-68772822408693390862017-01-09T06:46:00.004-08:002017-08-24T00:25:01.614-07:00เอียวเล้ง-คาตั๊ง กระดูกหมูส่วนไหนต้มซุปยังไงให้อร่อย<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzl3QSw5YdEnt56v8CTuKKS9r8kJD9GDth9iTlBMyf0f57IteVrthNFSnOtkhA28p1-qS2b20JlSVmsHrZrnmV-zLgYMG2ebRqxwPhhMAXDLyObZHMeTq6rpfM8pdHyk0D-_l6BfZUCRs/s1600/large000NPF80F3B30F73A19F77j.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzl3QSw5YdEnt56v8CTuKKS9r8kJD9GDth9iTlBMyf0f57IteVrthNFSnOtkhA28p1-qS2b20JlSVmsHrZrnmV-zLgYMG2ebRqxwPhhMAXDLyObZHMeTq6rpfM8pdHyk0D-_l6BfZUCRs/s400/large000NPF80F3B30F73A19F77j.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> เอียวเล้ง (เล้ง, เอียะเล้ง, เอียเล้ง) คือกระดูกสันหลังของหมู เวลานำมาขายมักจะหั่นมาให้ติดเนื้อด้วย ส่วน คาตั๊ง (คาตั้ง, คาตัง) คือกระดูกหน้าแข้งของหมู สิ่งที่ทั้ง 2 ส่วนนี้มีเหมือนกันก็คือเป็นส่วนที่คนนิยมใช้ต้มทำน้ำซุปกระดูกหมู โดยบางคนบอกว่าหากใช้เอียวเล้งต้มจะทำให้น้ำซุปหวาน ส่วนคาตั๊งจะทำให้น้ำซุปหอม จะเลือกใช้ส่วนไหนมาต้มก็แล้วแต่ความต้องการ หรือจะนำมาต้มรวมกันก็ยังได้<br /><br /><br /><br /><br />ซุปกระดูกหมูที่เราคุ้นชินกันจะมี 2 แบบ คือน้ำซุปใส กับน้ำซุปสีขาวขุ่น ซึ่งส่วนประกอบพื้นฐานและวิธีทำโดยรวมนั้นคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ทำให้สีของน้ำซุปแตกต่างกันก็คือ “ความแรงของไฟ” ที่ใช้ต้ม หากต้มด้วยไฟอ่อนจนถึงไฟกลาง จะได้น้ำซุปที่ใสเป็นสีทองดูน่ากิน เหมาะสำหรับนำไปทำแกงจืด ต้มซุป หรือปรุงเป็นต้มยำ แต่ถ้าต้มด้วยไฟแรงตลอด จะได้น้ำซุปสีขาวขุ่นจากคอลลาเจนในไขกระดูก เหมาะสำหรับนำไปทำราเมนแบบญี่ปุ่น<br /><br /><br /><br /><br />เคล็ดลับการต้มน้ำซุปกระดูกหมูให้อร่อยนั้นไม่ยาก แต่ต้องใช้ความอดทนและเวลาไม่ใช่น้อย เริ่มจากการนำกระดูกเอียวเล้งหรือคาตั๊งตามต้องการไปล้างให้สะอาด จากนั้นจึงต้มน้ำให้เดือดพล่าน นำกระดูกลงไปต้มประมาณ 5 นาทีเพื่อล้างเอาสิ่งสกปรกออก ไม่ต้องคนหรือช้อนฟองออกทั้งสิ้น สังเกตดูว่าน้ำจะมีฟองขุ่นๆและสิ่งสกปรกจำนวนมาก<br /><br /><br /><br /><br />จากนั้นนำกระดูกหมูขึ้น เทน้ำต้มรอบแรกทิ้ง ทุบกระดูกหมูให้แตกเพื่อให้ไขกระดูกออกมาง่ายขึ้น แล้วค่อยเริ่มต้มน้ำซุปกระดูกหมูด้วยการใส่กระดูกที่ต้มแล้วลงไปพร้อมน้ำสะอาดรอบใหม่ ใส่ผักได้ตามต้องการเพื่อเพิ่มความหวาน หากต้องการน้ำซุปใสให้ต้มจนเดือดครั้งหนึ่งแล้วลดไฟให้เหลือไฟอ่อนหรือไฟกลาง เคี่ยวไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอยากได้น้ำซุปสีขาวขุ่นแบบญี่ปุ่นให้ต้มด้วยไฟแรงตลอด ที่สำคัญต้องหมั่นช้อนฟองกับสิ่งสกปรกที่อาจหลงเหลือทิ้งและเติมน้ำไม่ให้ไหม้ ถ้าจะให้อร่อยควรเคี่ยวอย่างต่ำ 6 ชั่วโมง ยิ่งเคี่ยวนานก็จะยิ่งเข้มข้น<br /><br /><br /><br /><br />เคล็ดลับความอร่อยอย่างหนึ่งที่ทำให้น้ำซุปกระดูกหมูเข้มข้นและรสชาติดีคือคอลลาเจนจากไขกระดูก ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้ว คอลลาเจนยังเป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบถึง 75% ถ้าปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ผิวก็จะเริ่มเหี่ยวย่นมีริ้วรอย คอลลาเจนมีอยู่มากในเมนูเด็ดอย่างต้มซุปเปอร์ตีนไก่ ขาหมู คากิและน้ำซุปกระดูกหมู การกินอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนเหล่านี้จึงช่วยให้ผิวใสเด้งดึ๋ง ดูอ่อนกว่าวัยนั่นเอง<br /><br /><br /> <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSGv3DPCFlY21vFNHOiFcQ_kHlBGM1C73uhF3lebzvxjfUTZPcZFj09Se2BgxXaLCIE-gyfAopwVZLRhirJwAkFP8IbYi_dR12zPFwgtwWfKH-vXq3KRVhXPsnbIuEkceobxpNl1jlg5o/s1600/large000NPJF5FFB311A43A06A8j.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSGv3DPCFlY21vFNHOiFcQ_kHlBGM1C73uhF3lebzvxjfUTZPcZFj09Se2BgxXaLCIE-gyfAopwVZLRhirJwAkFP8IbYi_dR12zPFwgtwWfKH-vXq3KRVhXPsnbIuEkceobxpNl1jlg5o/s400/large000NPJF5FFB311A43A06A8j.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN9pxg4UdFd_va-GR0Tr4GNN4vjGUEtHWjmLhnwgpQSRAKvp07rDe9700eer7vMpI4ajWQhOJaylGAZt8FTisQ58SHpzek67cdEfdVWYgX93YlFCu1iIghftPsVyKiEa7YwWOW4qoaj_I/s1600/large000NPH44D8D4061A4B7D53j.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN9pxg4UdFd_va-GR0Tr4GNN4vjGUEtHWjmLhnwgpQSRAKvp07rDe9700eer7vMpI4ajWQhOJaylGAZt8FTisQ58SHpzek67cdEfdVWYgX93YlFCu1iIghftPsVyKiEa7YwWOW4qoaj_I/s400/large000NPH44D8D4061A4B7D53j.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> ข้อมูลจาก https://www.pageqq.com/Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-55360431184527275452016-03-09T16:53:00.004-08:002016-03-09T18:32:39.830-08:00ธาตุอาหารพืช<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDZiZiOfLvaYex5XvSxhY2_1WafIWi3KO4TwWvchUqFWpLIkwxTjoy5tIK2gsuctSGpLeuJIj11qx9RB5HczqDtOPk0K0BKw0K8KfeJrPQWUTLRtomIaaPRzPs_OgVYjQS2s3GQOl_VK4/s1600/roots_flat.jpg"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDZiZiOfLvaYex5XvSxhY2_1WafIWi3KO4TwWvchUqFWpLIkwxTjoy5tIK2gsuctSGpLeuJIj11qx9RB5HczqDtOPk0K0BKw0K8KfeJrPQWUTLRtomIaaPRzPs_OgVYjQS2s3GQOl_VK4/s640/roots_flat.jpg" width="492" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<h2>
ธาตุอาหารคืออะไร</h2>
<br />
คนเรากินสัตว์และพืชเป็นอาหาร พืชกินแร่ธาตุเป็นอาหาร อาหารของพืช เรียกว่า ธาตุอาหารพืช<br />
<br />
<b>ธาตุอาหารพืช มีอะไรบ้าง</b><br />
<br />
ธาตุอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมี ทั้งหมด 16 ธาตุอาหาร 3ธาตุอาหารได้มาจากน้ำและอากาศ คือ ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอน ส่วนที่เหลืออีก 13 ธาตุอาหาร จะมีอยู่ในดิน และในดินมัก จะขาดธาตุอาหาร เหล่านี้<br />
<br />
<b>ธาตุอาหารหลัก</b><br />
<br />
1.ไนโตรเจน ( N ) 2. ฟอสฟอรัส ( P ) 3. โปรแตสเซียม ( K )<br />
<br />
<b>ธาตุอาหารรอง</b><br />
<br />
1. แคลเซียม 2. แมกนีเซียม 3. กำมะถัน<br />
<b><br />ธาตุอาหารเสริม</b><br />
<br />
1. เหล็ก 2.ทองแดง 3. สังกะสี 4.แมงกานีส 5.โบรอน 6.โมลิบดีนั่ม 7. คลอรีน<br />
<br />
ปัจจุบันธาตุอาหารทั้ง 13 ธาตุ ที่มีอยู่ในดินมีปริมาณลดลงไปมากแล้ว เกษตรกร จำเป็นต้องหาธาตุอาหารเหล่านี้ เติมให้กับดิน แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรใช้แต่ปุ๋ยเคมีที่มีเฉพาะ NPK ซึ่งมีธาตุอาหารไม่เพียงพอ ต่อการเจริญเติบโต ของพืช เมื่อพืชขาดธาตุอาหารก็แสดง อาการผิดปกติออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นโรคใบไหม้ ใบติด ต้นแคระแกรน ผลบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจผิด หรือหาสาเหตุไม่เจอว่าเกิดจากอะไร เลยหันไปพึ่ง สารเคมีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ พอสารเคมีหมดฤทธิ์พืชก็แสดงอาการผิดปกติออกมาอีก เลยแก้ไข ไม่ได้เสียที นอกจากนี้การใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีต่าง ๆ จะส่งผลให้ดิน เกิดการตึงตัวหรือ ดินเป็นกรด เมื่อดินเป็นกรดทำให้ปุ๋ยที่เกษตรกรใส่ลงไปในดิน พืชไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ย และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นโดยปกติแล้วปุ๋ยสามารถเกิดการสูญเสียได้ 3 ทาง คือ<br />
<br />
• การระเหย<br />
• การพัดพาของน้ำ<br />
• การซึมผ่านรากเร็วไป<br />
<br />
จากทั้ง 3 สาเหตุนี้เกิดการสูญเสียปุ๋ยประมาณ 80 % ส่วนอีก 20 % ที่เหลือถ้า ดินเป็นกรด ธาตุอาหารก็จะเปลี่ยน สภาพอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เกษตรกรจำเป็นต้องเติมธาตุอาหาร ที่มีแร่ธาตุทั้ง 16 ชนิด ที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้พืชโตเร็ว สร้างภูมิต้านทางโรคต่าง ๆ ได้นอก จากนี้ ธาตุอาหารยังมีคุณสมบัติในการปรับปรุงดิน แก้ปัญหาดินเสีย ทำให้ดินร่วนซุย และ สามารถยับยั้ง เชื้อราเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหาโรครากเน่า โคนเน่าได้ด้วย เมื่อปัญหา หมดลงจะทำให้พืชทุกชนิดโตเร็ว เพิ่มผลผลิตมากขึ้น ผลกำไรก็มากตามเช่นกัน<br />
<br />
<div class="text_exposed_show" style="display: inline;">
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhzlKhhFpKrYenYX6MI8NdtdCRlM7mRmmvo_loTVSoqKFCZYNolV9oEE8KYtzxTuyKexc27ejmTEjhH_ucJONneGW6_HqJj7X6VwK0IVLA-k21zEbR2SAqztOEbEGWVhRPcCvy1bQpSQs/s1600/00000mineral_nutrition_manures3.gif" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhzlKhhFpKrYenYX6MI8NdtdCRlM7mRmmvo_loTVSoqKFCZYNolV9oEE8KYtzxTuyKexc27ejmTEjhH_ucJONneGW6_HqJj7X6VwK0IVLA-k21zEbR2SAqztOEbEGWVhRPcCvy1bQpSQs/s1600/00000mineral_nutrition_manures3.gif" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small; text-align: start;">แผนภูมิแสดงหน้าที่และการทำงานของธาตุต่างๆ </span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg11WD80_21R7bz_jJFecCeHBpXmxJTaMotyyXHN2H1OaJLPmVvZ0C9szNUSVw7dLM0psclYVgd5DrG0Qun2Gy8upWWRli5DUzdZWdNrkrZTd17Gx74mi8SpSfdHD8Dfftscv6Nmpgic5w/s1600/00000mineral_nutrition_manures4.gif" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg11WD80_21R7bz_jJFecCeHBpXmxJTaMotyyXHN2H1OaJLPmVvZ0C9szNUSVw7dLM0psclYVgd5DrG0Qun2Gy8upWWRli5DUzdZWdNrkrZTd17Gx74mi8SpSfdHD8Dfftscv6Nmpgic5w/s1600/00000mineral_nutrition_manures4.gif" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small; text-align: start;">แผนภูมิแสดงหน้าที่และการทำงานของธาตุต่างๆ </span></td></tr>
</tbody></table>
<h3>
<b><span style="color: red;">ธาตุอาหารรอง</span></b></h3>
<blockquote class="tr_bq">
<u><b>ธาตุแคลเซียม (Ca) </b></u>มีคุณสมบัติ ช่วยส่งเสริมการนำไนโตรเจนมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยลดหรือปรับสภาพความพอดีของฮาร์โมนพืช<br />แคลเซียมช่วยให้รากและใบเจริญเติบโตแข็งแรงและมีสุขภาพดี ช่วยต่อต้านจากการถูกทำร้ายจากภายนอก หลักการทำงานก็เหมือนกับยาสีฟันที่เราๆใช่กันทุกวันนี้แหละครับ มีแคลเซียมผสมด้วยทั้งนั้น เพราะจะช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ไม่ผุกร่อนได้ง่าย กับต้นไม้เช่นกันจะช่วยให้ลำต้นและความต้านทานภายนอกของต้นไม้แข็งแรงขึ้น แคลเซียมยังช่วยในเรื่องเพิ่มการดูดซึมของสารอาหารอื่น ๆ โดยรากส่วนหนึ่งจะทำการควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ทั้งระบบเอ็นไซม์ช่วยเปลี่ยนไนเตรตเป็นไนโตรเจน และมีส่วนจำเป็นในการสร้างโปรตีนรวมถึงการสร้างผนังเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืช มีผลก่อให้เกิดความต้านทานโรคที่ดีขึ้น แคลเซี่ยมแมกนีเซียมและโพแทสเซียมจขะทำงานร่วมกันเพื่อปรับสภาพกรดที่เหมาะสมในสารอินทรีย์ (ในดิน) ที่จะมีผลระหว่างการเผาผลาญอาหารในพืช<br /><b> หน้าที่สำคัญของธาตุแคลเซียมในพืช</b>-มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับโครงสร้างของผลไม้<br />-ช่วยเสริมสร้างเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืช ซึ่งพืชต้องการอย่างต่อเนื่อง<br />-ช่วยในการสร้างเซลล์และโครงสร้างของเซลล์ของพืช<br />-ช่วยให้เซลล์ติดต่อกัน และจะช่วยเชื่อมผนังเซลล์ให้เป็นรูปร่าง และขนาดให้เป็นไปตามลักษณะของพืช<br />-ช่วยเพิ่มการติดผล<br />-ช่วยให้สีเนื้อและสีผิวของผลสดใส<br />-ช่วยลดการเกิดเนื้อของผลแข็งกระด้าง และเนื้อแฉะ<br />-ช่วยป้องกัน ผลร่วง ผลแตก<br />-มีบาทบาทที่สำคัญในระยะการเจริญเติบโตและการออกดอกของพืช<br />-มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการย่อยธาตุไนโตรเจน<br />-เป็นตัวช่วยลดการหายในของพืช<br />-เป็นตัวช่วยเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล<br /><b> การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแคลเซียม</b>-ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่จะหดสั้นและเหี่ยว แม้ว่าใบเก่าจะมีธาตุแคลเซียมอยู่ เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่<br />-ใบอ่อนที่ขาดธาตุแคลเซียมจะมีสีเขียวแต่ปลายใบจะเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและจะตายในที่สุด<br />-ถ้าขาดธาตุแคลเซียมที่บริเวณขั้วหรือข้อต่อของผลจะทำให้เกิดแก๊สเอธีลีน(Ethylene) ทำให้ผลร่วง<br />-พืชหลายชนิดที่ขาดธาตุแคลเซียม เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริก แตงกวา จะเกิดการเน่าที่ส่วนล่างผล,<br />-ในผักขึ้นฉ่ายจะแสดงอาการไส้ดำ, ในแครอดจะแสดงอาการฟ่ามที่หัว, ในแอปเปิลจะมีรสขม,<br />-ในมันฝรั่งจะแสดงอาการเป็นสีน้ำตาลบริเวณกลางหัว,<br />-ในพืชลงหัวต่าง ๆ เช่น ผักกาดหัว(หัวไชเท้า) หอม กระเทียม จะแสดงอาการไม่ลงหัว หรือลงหัวแต่หัวจะไม่สมบูรณ์<br />-ในพืชไร่ ต้นจะแตกเป็นพุ่มแคระเหมือนพัด แสดงอาการที่ราก คือ รากจะสั้น โตหนามีสีน้ำตาล ดูดอาหารไม่ปกติ<br />-ในระยะพืชออกดอก ติดผล ถ้าพืชขาดธาตุแคลเซียม ตาดอกและกลีบดอกจะไม่พัฒนา ดอกและผลจะร่วง<br /><b> สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแคลเซียม</b>-ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป<br />-เมื่อให้ธาตุไนโตรเจนมาก<br />-เมื่อให้ธาตุโพแทสเซียมมาก<br />-เมื่อพืชแตกใบอ่อน แม้ว่าใบแก่จะมีธาตุแคลเซียม ทั้งนี้เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายในพืช<br />-เมื่อพืชแตกใบอ่อนต้องให้ธาตุแคลเซียมอยู่เสมอ<br />-ธาตุแคลเซียมจะมีความสมดุลกับธาตุโบรอนและธาตุแมกนีเซียมในพืช ถ้าไม่มีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง3 ชนิด พืชจะแสดงอาการผิดปกติ<br />-ธาตุแคลเซียมจะสูญเสียไปในดิน กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งพืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้<br />-ในดินที่เป็นกรด จะตรึงธาตุแคลเซียมไว้ ทำให้พืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้<br /> <br /><br /><u><b>ธาตุแมกนีเซียม ( Mg) </b></u>มีคุณสมบัติ ช่วยเสริมสร้างคลอโรฟิลล์<br />แมกนีเซียม มีบทบาทในการเจริญเติบโตของพืช เและยังป็นอะตอมกลางในคลอโรฟิล รับผิดชอบในการสังเคราะห์แสงและกระบวนการที่พืชเปลี่ยนแสงแดดและสารอาหารในการเจริญเติบโต เป็นธาตุอาหารที่พบมากที่สุดในสารสีเขียวของพืชก็คือคลอโรฟิลเช่นเดียวกับฟอสฟอรัส และหน้าที่สำคัญอีกอย่างของแมกนีเซียมก็คือมันจะมีหน้าที่ย้ายตัวเองจากใบเก่าๆแก่ๆของพืชเพื่อไปสร้างการเจริญเติบโตให้กับใบที่แตกออกมาใหม่ นี่ถึงเป็นเหตุผลอีกอย่างว่าการที่ใบอ่อนเจริญเติบโตช้า ก็เพราะเกิดจากการที่ขาดธาตุแมกนีเซียมด้วยเช่นกันครับ เราจะสังเกตุการขาดธาตุตัวนี้ได้อีกอย่างคือสังเกตุจากการดูสีและเส้ยใยของใบ ถ้าพืชขาดแมกนีเซียมใบที่แก่แล้วจะมีสีเทา สีเหลือง หรือ สีแดงในขณะที่เส้นใบเป็นสีเขียว<br /><b> หน้าที่สำคัญของธาตุแมกนีเซียมในพืช</b>-เป็นตัวจักรสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์ หรือความเขียวในพืช ช่วยให้พืชปรุงอาหารได้ดีขึ้<br />-ช่วยในการเคลื่อนย้ายธาตุฟอสฟอรัสได้ดีขึ้น<br />-มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์แสง<br />-มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับการสุกการแก่ของผลผลิต<br />-ช่วยให้พืชเพิ่มการใช้ธาตุเหล็กมากยิ่งขึ้น<br />-เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อยต่าง ๆ ของพืช เคลื่อนย้ายภายในพืชได้ดี<br />-ช่วยเสริมสร้างให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น<br />-ช่วยเสริมสร้างให้พืช มีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ<br />-พืชอาหารสัตว์ ถ้าขาดธาตุแมกนีเซียม จะเป็นสาเหตุของพืชอาหารสัตว์เป็นพิษ<br /><b> การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแมกนีเซียม</b>-จะทำให้ต้นเล็กแคระแกรน ใบเหลือง<br />-ในใบแก่จะมีสีซีดจาง ไม่เขียวสดใส และเมื่อแตกใบอ่อนก็จะมีสีซีดจางเช่นเดียวกัน และธาตุแมกนีเซียม สามารถเคลื่อนย้ายในพืชได้<br />-เมื่อใบแก่ขาดธาตุแมกนีเซียม ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ก็จะขาดด้วย ใบจะเป็นสีเหลืองและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและตายไปในที่สุด<br />-ผลจะสุกแก่ช้ากว่าปกติ<br />-ในพืชตระกูลถั่วจะทำให้พืชไม่ค่อยจะลงฝัก และจะทำให้แบคทีเรียที่รากถั่ว ไม่จับธาตุไนโตรเจนไว้ได้ดีเท่าที่ควร<br />-ในพืชอาหารสัตว์จะให้ผลผลิตต่ำ และทำให้พืชอาหารสัตว์เป็นพิษ<br /><br /><b> สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแมกนีเซียม</b>-ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป<br />-ในดินที่มีปริมาณของธาตุแมกนีเซียมต่ำ<br />-ในดินที่มีธาตุแคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียมมาก<br />-ในดินที่มีปริมาณของเกลือมาก เช่น พวกเกลือโซเดียม<br />-ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ<br />-ในระยะที่พืชแตกใบอ่อน<br />-ในระยะที่พืชดูดใช้ธาตุไนโตรเจนมาก<br /><br /><b><u> ธาตุซัลเฟอร์ ( S )</u></b> มีคุณสมบัติ ช่วยในการหายใจเพื่อให้พลังงาน<br />กำมะถันเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยการสร้างของโปรตีนที่พบในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และจำเป็นมากในพืชที่มีลักษณะเป็น หัว หรือ เหง้าที่อยู่ใต้ดินและยังมีผลกระทบกับกลิ่นและรูปร่างลักษณะด้วย<br /> <b><br /></b><b> หน้าที่สำคัญของธาตุกำมะถัน</b>-ธาตุกำมะถันเป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโน(Amino acids) พืชต้องการธาตุกำมะถันเพื่อสังเคราะห์กรดอะมิโนที่สำคัญ 3 ชนิด คือ ซีสตีน(Cystine) ซีสเตอีน(Cysteine) และเมทธิโอนีน(Methionine) ดังนั้นจึงมี<br />ส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีน, กรดอะมิโนเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งคนและสัตว์ด้วย<br />-ธาตุกำมะถันจะช่วยในการควบคุม ชนิดและโครงสร้างของเม็ดสีคลอโรพลาสต์ ซึ่งภายในประกอบด้วย<br />คลอโรฟีลล์เป็นแหล่งที่พบกำมะถันสะสมอยู่มาก เมื่อพืชขาดธาตุกำมะถันปริมาณของคลอโรฟีลล์จะลดลงทำให้พืชมีสีเหลืองซีด<br />-ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงในการเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้พืชทนทานต่ออุณหภูมิที่เย็น และต้านทานต่อโรคพืชหลายชนิด<br />-ช่วยสนับสนุนการเกิดปมที่รากของพืชตระกูลถั่วและกระตุ้นการสร้างเมล็ด<br />-มีส่วนสำคัญในการเกิดน้ำมันพืชและสารระเหยให้หัวหอมและกระเทียม<br /><b> การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุกำมะถัน</b>-พืชจะแคระแกรนหยุดการเจริญเติบโต<br />-ใบอ่อนมีสีเขียวจางลง รวมทั้งเส้นใบจะมีสีจางลงด้วย แต่ในใบแก่จะยังคงมีสีเขียวเข้ม<br />-ถ้าพืชขาดธาตุกำมะถันมาก พืชจะพัฒนาการเจริญเติบโตได้ช้า<br />-ลำต้นพืชจะสั้นและแคบเข้า ใบยอดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง<br />-ในพืชตระกูลถั่ว การตรึงธาตุไนโตรเจนที่ปมรากจะลดลงทั้งขนาดและจำนวนปม<br /><b> สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุกำมะถัน</b>-ในดินที่มีของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.0-6.0<br />-ในดินที่มีค่าอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1%อินทรีย์วัตถุเป็นแหล่งสำรองของธาตุกำมะถัน ได้แก่ ซากพืช ซากสัตว์<br />-ผลจากการหักล้างถางพงป่ามาเป็นพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรจะทำให้ดินสูญเสียอินทรีย์วัตถุเร็วขึ้น<br />-การใช้ปุ๋ยสูตรที่มีความเข้มข้นของธาตุอาหารสูง จะทำให้เกิดการขาดธาตุกำมะถัน เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียม<br />ฟอสเฟต (MAP) ไดแอมโมเนียมฟอสเฟต(DAP) หรือ ทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต(TSP)</blockquote>
<br />
<h3>
<span style="font-weight: normal;"><u><span style="color: red;">ธาตุอาหารเสริม</span></u></span></h3>
<blockquote class="tr_bq">
<b>ธาตุเหล็ก ( Fe) </b>มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นการหายใจและการปรุงอาหาร<br /><b>ธาตุสังกะสี ( Zn )</b> มีคุณสมบัติ ช่วยการเจริญเติบโตของตา , ยอด ยึด ข้อ ปล้อง<br /><b>ธาตุแมงกานีส ( Mn )</b> มีคุณสมบัติ ช่วยสังเคราะห์แสง ควบคุมการทำงานของเหล็กและไนโตรเจน<br /><b>ธาตุทองแดง ( Cu )</b> มีคุณสมบัติ สร้างและป้องกันการเสียหายของคลอโรฟิลล์ ช่วยให้พืชดูดธาตุเหล็กได้ดีขึ้น<br /><b>ธาตุโมลิบดีนั่ม ( Mo ) </b>มีคุณสมบัติ ช่วยการทำงานของไนโตรเจน ทำให้พืชสมบูรณ์มากขึ้น<br /><b>ธาตุโบรอน ( B ) </b>มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นการสร้างคลอโรฟิลล์และน้ำย่อยบางชนิด<br /><b>ธาตุโซเดียม ( Na) </b>มีคุณสมบัติ ทำให้การปรุงอาหารของพืชสมบูรณ์<br /><b>ธาตุซิลเวอร์ ( Ag ) </b>มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชหนุนนำการทำงานของไนโตรเจน<br /><b>ธาตุอะลูมินั่ม ( A1 ) </b>มีคุณสมบัติ ช่วยหนุนนำการทำงานของแมกนีเซียมและซัลเฟอร์ทำให้กระบวนการหายใจและการปรุงอาหารสมบูรณ์<br /><b>ธาตุซิลิกอน ( Si )</b> มีคุณสมบัติ ลดการคายน้ำของพืช ช่วยให้แผนกเซลล์พืชแข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานของโรคพืช</blockquote>
<br />
<br />
ธาตุอาหารทั้งหมดมีคุณสมบัติพิเศษมีความเป็นด่างสูง สามารถปรับความเป็นกรดของดินให้เกิดความเป็นกลางได้ และสามารถช่วยดูดซับสารเคมีให้หมดไปจากดินได้ดี แต่ถ้าหากขาดธาตุใดธาตุหนึ่งพืชจะแสดงอาการผิดปกติ ทันที เช่น ใบไหม้ ใบเหลือง ใบแก้ว ใบม้วน ใบติด ลูกร่วง ดอกหล่น ฯลฯ เป็นต้น</div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-29440670902056665792016-01-24T17:17:00.002-08:002016-01-24T17:24:59.662-08:00สมุนไพรไล่แมลงศัตรูพืช<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEha3xTm_rUtRlUw12FlM84EioFY3UqOkMuEdOLlE30r9yQAe-xrqHhLqNL2D6jMGs9CROZTWPOWf69YGe78SUurz1JGYLKpkmKl39BHkkEaLTasC-Uf6M3GFraamQ5DFzUmps1EaNsADBs/s1600/art_42274965%255B1%255D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEha3xTm_rUtRlUw12FlM84EioFY3UqOkMuEdOLlE30r9yQAe-xrqHhLqNL2D6jMGs9CROZTWPOWf69YGe78SUurz1JGYLKpkmKl39BHkkEaLTasC-Uf6M3GFraamQ5DFzUmps1EaNsADBs/s640/art_42274965%255B1%255D.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 16px; line-height: 19.5px; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;">สมุนไพรไล่แมลงศัตรูพืช</b></td></tr>
</tbody></table>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: small; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;">สมุนไพรไล่แมลงศัตรูพืช</span></b></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: navy; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"> </span><span style="color: #9900ff; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">การใช้สมุนไพรไล่แมลงศัตรูพืช ได้รับการพิสูจน์และยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดแมลงโรคพืช โดยเฉพาะสำหรับการปลูกพืชผัก<br />และผลไม้ ไม่แพ้การใช้สารเคมี แต่มีข้อดีกว่าหลายอย่าง คือ มีราคาถูก ปลอดภัย ต่อเกษตรกรผู้ใช้ ไม่มีสารพิษตกค้างในผลผลิต จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค รวมทั้งไม่เป็นอันตราย<br />ต่อแมลงที่เป็นประโยชน์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในแปลงพืชผักไม่ตกค้างในดินและสภาพแวดล้อม<br /> อย่างไรก้๖ามการใช้สมุนไพรไล่แมลงศัตรูพืชมิได้เป็นวิธีการสำเร็จรูปเหมือนกับการใช้สารเคมี การใช้สมุนไพรป้องกันกำจัดศัตรูพืช ควรทำควบคู่ไปกับวิธีธรรมชาติหรือ<br />วิธีทางเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างสมดุลย์ทางธรรมชาติ ให้เกิดขึ้นในแปลงพืชผักผลไม้ วิธีทางเกษตรอินทรีย์เหล่านั้น ได้แก่<br /> 1. การเตรียมดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยชีวภาพ<br /> 2. การเลือกใช้พันธุ์ที่ทนทานต่อโรคและแมลง<br /> 3. ปลูกพืชให้ตรงกับฤดูกาลที่เหมาะสม<br /> 4. การปลูกพืชหลายชนิดในแปลงเดียวกัน แบบผสมผสานและปลูกพืชหมุนเวียน<br /> การปลูกปฏิบัติเหล่านี้จะช่วยให้พืชผักมีสุขภาพแข็งแรงต้านทานโรคและแมลง ป้องกันการระบาดของแมลงศัตรูพืช</span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><span style="color: #9900ff; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">สมุนไพรไล่แมลงสูตรรวมเอนกประสงค์</span></span></b></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">สะเดา ตะไคร้หอม (ตะไคร้บ้านก็ได้) ใบสะเดาหรือเมล็ดสะเดาก็ได้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ส่วนผสม</span></b><br /> ใบสะเดาหรือเมล็ดสะเดา 1 ก.ก.<br /> หัวข่า 1 ก.ก.<br /> ตะไคร้หอม 1 ก.ก.</span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">วิธีทำ</span></b></span><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /> สับส่วนผสมแต่ละอย่างให้เป็นชิ้น ขนาด 3.5 เซนติเมตร หรือตำรวมกันให้ละเอียด เติมน้ำ 20 ลิตร หมัก 3 คืน กรองเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">วิธีใช้</span></span></b><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /> นำน้ำสมุนไพรที่หมักได้ 1 ลิตร ผสมน้ำ 10 ลิตร พ่นพืชผักผลไม้</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">ประโยชน์</span></b></span><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /> ใช้ป้องกันผีเสื้อกะหล่ำ หนอนคืบ เพลี้ยอ่อน แมลงในยุ้งฉาง</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;"><span style="color: #9900ff; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">สูตรใช้อย่างเดียวเอนกประสงค์</span></span></b></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">สาบเสือ</span></span></b><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ส่วนผสม</span></b><br /> ต้นสาบเสือและใบสด 1 กก. (หนึ่งกิโลกรัม) นำมาสับเป็นชิ้นขนาด 3.5 เซนติเมตร ผสมน้ำ 3 ลิตร หมักไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">วิธีใช้</span></b><br /> นำน้ำที่หมักได้ 1 ลิตร ผสมน้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นพืชผักทุก ๆ 5 - 7 วัน ในช่วงเวลาเย็น<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ประโยชน์</span></b><br /> ใช้ใส่และกำจัดแมลงพวกเพลี้ยกระโดด, เพลี้ยจักจั่น, เพลี้ยหอย, เพลี้ยไฟ,หนอนกระทู้, หนอนใยผัก</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">ดาวเรือง</span></b><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ส่วนผสม</span></b><br /> ดาวเรืองทั้งต้น ใบ ดอก 0.5 ก.ก. (ครึ่งกิโลกรัม) นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำ 3 ลิตร หมักไว้ 1 คืน นำมากรองเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">วิธีใช้</span></b><br /> นำน้ำหมักดาวเรือง 5 ช้อนแกงผสมน้ำ 5 ลิตร และน้ำสบู่ หรือยาสระผม 1 ช้อนแกง ผสมด้วย เพื่อช่วยให้เป็นสารจับใบ ฉีดพ่นพืชผัก ผลไม้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ประโยชน</span>์</b><br /> ใช้ป้องกันเพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว แมลงวันผลไม้ หนอนใยผัก หนอนผีเสื้อหัวกะโหลก หนอนกะหล่ำปลี<br />ด้วงปีกแข็ง ไส้เดือน ฝอย</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">บอระเพ็ด</span></span></b><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /> ใช้เถาบอระเพ็ดแก่ ๆ ทั้งใบ 1 ก.ก. สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาด 3-5 เซนติเมตร ผสมน้ำ 4 ลิตร หมักไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">วิธีใช้</span></b><br /> นำน้ำหมักบอระเพ็ดที่กรองแล้ว 1 ลิตร ผสมน้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นพืชผัก<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ประโยชน์</span></b><br /> ใช้ไล่และกำจัดเพลี้ยกระโดสีน้ำตาล เพลี้ยจักจั่น หนอนกอ โรคยอดเหี่ยว โรคข้าวลีบ</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">พริก</span></b><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ส่วนผสม</span></b><br /> พริกชี้ฟ้าสุก 0.5 ก.ก. (ครึ่งกิโลกรัม) ตำหรือปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำ 3 ลิตร หมักไว้ 1 คืน กรองเอาน้ำเก็บไว้ใช้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">วิธีใช้</span></b><br /> นำน้ำหมักบอระเพ็ดที่กรองแล้ว 1 ลิตร ผสมน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นพืชผัก ผลไม้<br /><b style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ประโยชน์</span></b><br /> ใช้ขับไล่และกำจัดแมลง เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ ด้วงงวงช้าง แมลงในยุ้งฉาง เพลี้ยไฟ ไรแดง เพลี้ยแป้ง</span></span><br />
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /></span></span>
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><br /></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma, 'Helvetica Neue', Arial, 'Liberation Sans', FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 10px; padding: 0px; word-break: break-word;">
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><b style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-size: 13px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: underline;">ข้อควรปฏิบัติในการใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร</span><br /> </span></b><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"> 1. ควรใช้สารสกัดชีวภาพจากพืชสมุนไพรแต่ละสูตรสลับกันไปทุก ๆ 5 - 7 วัน เช่น อาทิตย์แรกใช้สารสกัดบอระเพ็ด อาทิตย์ที่ 2 ใช้สารสักจากสะเดา<br />อาทิตย์ที่ 3 ใช้สารสกัดจากพริก อาทิตย์ที่ 4 ใช้สารสกัดจากสาบเสือ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการดื้อยาของแมลงศัตรูพืช จึงไม่ควรใช้สารสกัดสูตรเดียวติดต่อกันเป็น<br />เวลานาน อย่างที่เกษตรกรปฏิบัติอยู่ขณะนี้<br /> 2. การหมักน้ำสกัดจากพืชสมุนไพรจากพืชบางชนิด เช่น พริก ข่า ตะไคร้หอม สะเดา ไม่ควรหมักไว้เกินกว่า 3 วัน เพราะทำให้น้ำหมักมีกลิ่นบูดเน่า<br />และสารกำจัดแมลงเสื่อมคุณภาพได้ ควรหมักไว้ 1 - 2 คืน แล้วกรองเอาน้ำสกัดออกมาเก็บไว้ใช้จะมีประสิทธิภาพมากกว่า<br /> 3. ควรจะหมักน้ำสกัดพืชสมุนไพร หลาย ๆ ขนาน พร้อม ๆ กัน แล้วกรองเก็บไว้สลับกันใช้ตามข้อ 1<br /> 4. การใช้น้ำสกัดสมุนไพรควรเริ่มใช้ในอัตราส่วนที่ต่ำ ๆ ก่อน เช่น 5 ช้อนแกง ต่อน้ำ 10 ลิตร แล้วจึงเพิ่มอัตราส่วนขึ้นทีละน้อย เพราะพืชผักบางชนิด<br />อาจจะชงักการเจริยเติบโต หรือทำให้ยอดหรือใบไหม้ได้<br /> 5. เศษพืชสมุนไพรที่กรองเอาน้ำหมักออกแล้ว นำไปใส่ตามโคนต้นไม้ผล หรือหว่านในแปลงกล้าข้าว เพื่อขับไล่หรือกำจัดแมลงศัตรูพืชได้<br /></span></span><br />
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="color: red; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><b>เพิ่มเติม</b></span></span><br />
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="color: red; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><b><br /></b></span></span>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1Rv6ghJ-JW4lpH4bCa9OABotBGL6VGLGaLgU_LCiW637LzvLJz-VvUYhJrQ3BRgRv20jiiqPzj9o_590eq7Gwa4oCsHyArdl1lY73sbDnfkV6RDYsvQ4yf-0dShYQcnn92swWNCEnXpw/s1600/art_42274961%255B1%255D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1Rv6ghJ-JW4lpH4bCa9OABotBGL6VGLGaLgU_LCiW637LzvLJz-VvUYhJrQ3BRgRv20jiiqPzj9o_590eq7Gwa4oCsHyArdl1lY73sbDnfkV6RDYsvQ4yf-0dShYQcnn92swWNCEnXpw/s640/art_42274961%255B1%255D.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">สูตร ไล่และกำจัดแมลง ทำเองง่ายๆ</td></tr>
</tbody></table>
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="color: red; font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;"><b><br /></b></span></span><b><u>ยาฆ่าแมลง</u></b><br />
<div aria-atomic="false" aria-live="polite" class="conversation" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div data-reactroot="" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_4tdt" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_4tdv" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_5wd4 _1nc6 direction_ltr" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div aria-describedby="js_c" aria-label="21:41" class="_5wd9" data-hover="tooltip" data-tooltip-position="right" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_5wde _n4o" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_5w1r _3_om _5wdf" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_4gx_" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b>สูตร 1</b> เหล้าขาว 1 ขวดใหญ่ น้ำส้มสายชูกลั่น 5% 1 ขวดใหญ่ ยาฉุน 2 ขีด คนให้เข้ากันแช่รวมกันไว้ 1 คืน ใช้อัตราส่วน 2-5 ช้อนโต้ะต่อน้ำ 10 ลิตร</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b>สูตร 2</b> น้ำส้มสายชู1ขวดใหญ่ พริกสด1ขีดหรือ1กำมือ โขลกพริกผสมน้ำส้มหมักไว้ 1 คืน ใช้อัตราส่วน 2-5 ช้อนโต้ะต่อน้ำ 10 ลิตร</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b>สูตร 3 </b> เหล้าขาว 2 แก้ว น้ำส้มสายชู 1 แก้ว EM 1 แก้ว กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 1 แก้ว ผสมทั้งหมดหมักไว้ 1 คืน ใช้อัตราส่วน 5-10 ช้อนโต้ะต่อน้ำ 20 ลิตร</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<br />
ทั้ง 3 สูตรฆ่าแมลง เวลาใช้ให้เจือจางตามสูตรที่ให้ค่ะแล้วเติมน้ำยาล้างจานด้วย 1 ช้อนชา เพือให้น้ำยาที่ฉีดจับใบหรือเกาะที่ใบพืชของเรานานๆค่ะ ทั้งเพลี้ย หนอนหลอด บุ้ง มด ตายภายในไมีถึง5นาทีเลย ตายแบบเพลี้ยไหม้ อย่าใช้อัตรส่วนที่เข้มข้นมากไป เพราะอาจทำให้ใบไหม้และตายได้ เพราะจะได้ผลดีคือฉีดตอนแดดจัด</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b><u>สูตรขับไล่</u></b></div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b>สูตร 1</b> น้ำจากการดองผักต่างๆ หรือน้ำดองหน่อไม้ส้ม 5 ช้อนโต้ะต่อน้ำ 10 ลิตร</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b>สูตร 2 </b> ข่าแก่ ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา ตำทุกอย่างพอแตก ผสมน้ำเปล่าพอท่วมหมักไว้ 1 คืน</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<b>สูตร 3 </b> ใบสาบเสือ ใบน้อยหน่า ใบกระถิน โขลกรวมกันให้ช้ำจนมีกลิ่นฉุนออกมา ผสมน้ำพอท่วมหมักไว้ 1 คืน</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
ทั้ง 3 สูตร ใช้อัตรา 5 ช้อนโต้ะต่อน้ำ10ลิตรและเพิ่มน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชาค่ะ เพื่อจับใบ ฉีดให้เปียกชุ่มทั้วทรงพุ่ม ใต้ใบด้วย อาทิตย์ละครั้ง</div>
<div class="_d97" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<br /></div>
</div>
</div>
</div>
</div>
<div class="_3ry4" style="margin: 0px; padding: 0px;">
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
<div class="accessible_elem" style="margin: 0px; padding: 0px;">
</div>
<div style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div data-reactroot="" style="margin: 0px; padding: 0px;">
</div>
</div>
<div style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_510g _510e none" data-reactroot="" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_510h" style="margin: 0px; padding: 0px;">
</div>
</div>
</div>
<span style="color: #9900ff; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: "ms sans" serif; font-size: x-small; margin: 0px; padding: 0px;">credit รูปและข้อมูลจาก http://www.maingamkasetthai.com/</span></span></div>
Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-21929709219902558292016-01-20T17:06:00.003-08:002016-01-20T17:06:40.779-08:00ไอเดีย DIY รีไซเคิลขวดพลาสติคและวัสดุเหลือใช้สุดเจ๋ง<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: open_sansregular, sans-serif, Arial; font-size: 14px; line-height: 20px;">ไอเดียการประดิษฐ์จากกระป๋องและขวดน้ำพลาสติกที่ทิ้งแล้วมาทำให้เกิดประโยชน์ </span><br />
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: open_sansregular, sans-serif, Arial; font-size: 14px; line-height: 20px;"><br /></span>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjK72mcGzdUpaPQWIy0O9MoZt6AWO1VGl61lDbwnqC0sc29qpw2RDr7dL91PsXkIMTZ1TB1akZNNjshBlJ_yr2kgIOXgFnKEiRRQjn0lKGcU5dZ2sXXq18ZqaTcibc9vu5ok2FyG0hik2o/s1600/1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjK72mcGzdUpaPQWIy0O9MoZt6AWO1VGl61lDbwnqC0sc29qpw2RDr7dL91PsXkIMTZ1TB1akZNNjshBlJ_yr2kgIOXgFnKEiRRQjn0lKGcU5dZ2sXXq18ZqaTcibc9vu5ok2FyG0hik2o/s640/1.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">1.</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_ZQ0DkMe2AH3N6ETnXWaxsZPRc5cgLVfQwZOB_DTwmHwP51QHdisXKgRlfIfkd_9YlAzo8OKPwPpQdA14k4_9fRPUtV9Q7_PWh1107eDbyOEKNUAp_7tYihFtzOmfvavyCH-J5ipir9g/s1600/2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="638" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_ZQ0DkMe2AH3N6ETnXWaxsZPRc5cgLVfQwZOB_DTwmHwP51QHdisXKgRlfIfkd_9YlAzo8OKPwPpQdA14k4_9fRPUtV9Q7_PWh1107eDbyOEKNUAp_7tYihFtzOmfvavyCH-J5ipir9g/s640/2.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">2<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6C4kh5-ssjMWcxchb1PbJbdUtyG2rHxCtIzfEbQJCkPjsW_deWA6NPjjuKBcJ9qxSnYnamH5iGIRNTWcECoTeKqel23GfFDob5usb-alpluTZPSRcrAmreEFMRdPW1uaIr9J2do1hPE8/s1600/3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6C4kh5-ssjMWcxchb1PbJbdUtyG2rHxCtIzfEbQJCkPjsW_deWA6NPjjuKBcJ9qxSnYnamH5iGIRNTWcECoTeKqel23GfFDob5usb-alpluTZPSRcrAmreEFMRdPW1uaIr9J2do1hPE8/s640/3.jpg" width="568" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">3<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_Z1kDWQn_ZM3kU1BFP4CNvc-pwx6icaQAf13v2QVSl50rUi-Sojjkx32c7w1rZV2ZMj6jizEjjABSMAtGtotn9mMALiAyMDRj8sAJ34uBKxWfcjaJskyErHnl7UIPzH0G-QfAvxmEAak/s1600/4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_Z1kDWQn_ZM3kU1BFP4CNvc-pwx6icaQAf13v2QVSl50rUi-Sojjkx32c7w1rZV2ZMj6jizEjjABSMAtGtotn9mMALiAyMDRj8sAJ34uBKxWfcjaJskyErHnl7UIPzH0G-QfAvxmEAak/s640/4.jpg" width="482" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">4<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3mk73eB0WGt3wME7jFxNI1wZ3SVfSSS5qiGJX2QrdtNcB6uJVoY3z6iF5gpdA8payWjOimybFVSOa0aWKfjxZRx0FYpsJDUE5ZdTyFRctBLYVklUHLp8jrYh46eqGu64evSqq3k-Upzg/s1600/5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3mk73eB0WGt3wME7jFxNI1wZ3SVfSSS5qiGJX2QrdtNcB6uJVoY3z6iF5gpdA8payWjOimybFVSOa0aWKfjxZRx0FYpsJDUE5ZdTyFRctBLYVklUHLp8jrYh46eqGu64evSqq3k-Upzg/s640/5.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">5<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqNGBPjTnSQJpE9Gg067UBneJZ1DTR7CQWWklyRtHWTbkxzQayQoD5z2Sh56By85JYczRzLPFo1p0FG3EkwJuG2_VcWLiQw_mb2Y3tRp4DHu-odmBTNT7tpS2u2S4JcB4prqy38XUosPU/s1600/6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="636" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqNGBPjTnSQJpE9Gg067UBneJZ1DTR7CQWWklyRtHWTbkxzQayQoD5z2Sh56By85JYczRzLPFo1p0FG3EkwJuG2_VcWLiQw_mb2Y3tRp4DHu-odmBTNT7tpS2u2S4JcB4prqy38XUosPU/s640/6.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">6<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBSBAA8-7SoWdQhxp3qFhvTYu28_Iylx99JIahlZpfOObJnquOm95P9KtJ3DKVCNGgW1_v-7ttq4VQOQXkGL5J-thFRBBUM36I5g5O7JpqsXBmp3gwhnGlcIkObzgt6yrht8pbtGTgkgw/s1600/7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBSBAA8-7SoWdQhxp3qFhvTYu28_Iylx99JIahlZpfOObJnquOm95P9KtJ3DKVCNGgW1_v-7ttq4VQOQXkGL5J-thFRBBUM36I5g5O7JpqsXBmp3gwhnGlcIkObzgt6yrht8pbtGTgkgw/s640/7.jpg" width="638" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">7<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXg8mCoxC7nJDYhYDVkUbl0x77Xjj5TnhMJ68DT9haMkwM1CpFjChiUFNn5NaxYsd1sibnGKO5b0fGVZxDrKMX7l1144O34K237oj-DD21oURVY25J9wJ_Vw0FGLDJLx1xmQ1SMmk04EE/s1600/8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXg8mCoxC7nJDYhYDVkUbl0x77Xjj5TnhMJ68DT9haMkwM1CpFjChiUFNn5NaxYsd1sibnGKO5b0fGVZxDrKMX7l1144O34K237oj-DD21oURVY25J9wJ_Vw0FGLDJLx1xmQ1SMmk04EE/s640/8.jpg" width="430" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">8<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRacUbbpju5LqkLCD2fJQ5XhpAb66vkAVjSBu47D4Z4f4bnBm1EFBPpCJkuRakejBEZ_3pepmvwOAIJ9_AaiRQCYsTUQWJ77DNdUStW3BBx5Xb9w3QFhVkzeRP8S0PORGJFoFy9VxlqR8/s1600/9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRacUbbpju5LqkLCD2fJQ5XhpAb66vkAVjSBu47D4Z4f4bnBm1EFBPpCJkuRakejBEZ_3pepmvwOAIJ9_AaiRQCYsTUQWJ77DNdUStW3BBx5Xb9w3QFhVkzeRP8S0PORGJFoFy9VxlqR8/s640/9.jpg" width="480" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">9<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWvIDO1sPppHKT2hfx871OYkcSDDhjEYopjJQpXeg3-fr_aKoC0zxMhH75AVmvnW62dFsCbWqBd_4sy5_jYzBk3m3V9h8Mqlg-Lj-00DVbL67n4JF8w4IrfbWuQdpWYa9ye-Sp0-C7ClY/s1600/11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWvIDO1sPppHKT2hfx871OYkcSDDhjEYopjJQpXeg3-fr_aKoC0zxMhH75AVmvnW62dFsCbWqBd_4sy5_jYzBk3m3V9h8Mqlg-Lj-00DVbL67n4JF8w4IrfbWuQdpWYa9ye-Sp0-C7ClY/s640/11.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">10<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4cQlPTx94jt2huvZ5YOuSINBMAqqv5_vKLUqDpxZUXbqlvb1GcKG2_gw0rWLhRaEE_BCYEGqBgCUCX2Tte9DoH5QLePDa4OLnZXbIkrj2_tlyxnBnOwLFQQWRjlohkuURK27JxVQ26AI/s1600/13.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4cQlPTx94jt2huvZ5YOuSINBMAqqv5_vKLUqDpxZUXbqlvb1GcKG2_gw0rWLhRaEE_BCYEGqBgCUCX2Tte9DoH5QLePDa4OLnZXbIkrj2_tlyxnBnOwLFQQWRjlohkuURK27JxVQ26AI/s640/13.jpg" width="480" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">11<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiC6Nd1nEPiy6Kv_xKd9vbzf1SnMRpiBG2HeG1TMW7Pdd4s0VjrpujeIGlyUQQ2NkaJE66cg1x3xZeSv0E6aKNmGq231nLng2vTp-yoYCTU3zte096PBTuqRx5UzLYdQS2038MhnQgY294/s1600/14.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiC6Nd1nEPiy6Kv_xKd9vbzf1SnMRpiBG2HeG1TMW7Pdd4s0VjrpujeIGlyUQQ2NkaJE66cg1x3xZeSv0E6aKNmGq231nLng2vTp-yoYCTU3zte096PBTuqRx5UzLYdQS2038MhnQgY294/s640/14.jpg" width="636" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">12<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8FWGJn7F3LXM5WbOaPhENn1oWYO-14CqJfZVaegS8jlbYpIx4u3MZNTlqxsBJhjWNR6N4dDr6hXM-s4I0ecJ8fDoMbcUXabea_RKwbw2CHE3zP1hkA2tHnVTUIM2pbhCLEgwwgmoZm5U/s1600/15.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8FWGJn7F3LXM5WbOaPhENn1oWYO-14CqJfZVaegS8jlbYpIx4u3MZNTlqxsBJhjWNR6N4dDr6hXM-s4I0ecJ8fDoMbcUXabea_RKwbw2CHE3zP1hkA2tHnVTUIM2pbhCLEgwwgmoZm5U/s640/15.jpg" width="324" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">13<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEGVyTkF9Io8CSlAnoXkivxr07zbq71q3UkhR2OlmaeBUQmV01wbMtjby8c3hbjEbeqkou2vT_t0VeFT2fMtcARo21aw9QYLfFDcNBLv8ntoPm6xdvANOSvWNANUK_L7XZX6NOWRg2hmw/s1600/17.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEGVyTkF9Io8CSlAnoXkivxr07zbq71q3UkhR2OlmaeBUQmV01wbMtjby8c3hbjEbeqkou2vT_t0VeFT2fMtcARo21aw9QYLfFDcNBLv8ntoPm6xdvANOSvWNANUK_L7XZX6NOWRg2hmw/s640/17.jpg" width="480" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">14<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKyMQyJgqjHYTufd1hx803GQyjDVfGbM07K9V_mG3907fa2lAqe-GgkdJ92KR5O32uEp8iLvo56YrC82lnSAdQW60yE_g7x3uKbv73hrP8_HMl2nZfAf-HQYQI8DjEK56W7OLRqepMZys/s1600/18.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKyMQyJgqjHYTufd1hx803GQyjDVfGbM07K9V_mG3907fa2lAqe-GgkdJ92KR5O32uEp8iLvo56YrC82lnSAdQW60yE_g7x3uKbv73hrP8_HMl2nZfAf-HQYQI8DjEK56W7OLRqepMZys/s640/18.jpg" width="450" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">15<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUCav2LUk60yh72gfybmHJRgu6NhlCSD320DyA_DZMxh1s_4XH-UFJXzy8-jPiRkpumhQw5ZeOHWK-MjhcnqRu16SRolHSCa_ACQr0pKS8Taa6r2D-kZ3cmRFTTV9RYyZlOJ6ra9IVXCM/s1600/19.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUCav2LUk60yh72gfybmHJRgu6NhlCSD320DyA_DZMxh1s_4XH-UFJXzy8-jPiRkpumhQw5ZeOHWK-MjhcnqRu16SRolHSCa_ACQr0pKS8Taa6r2D-kZ3cmRFTTV9RYyZlOJ6ra9IVXCM/s640/19.jpg" width="604" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">16<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLTS0seQsUdiesv3nAfdYm5pJhMjHys0QcJPMQnAQ_mK7ua6oGAihE3X_g26a9Ial_FIZLNJlpMV870BnoK-Paci1oXOW3HPxGN8F0JX2RNbouTP-RAtDGdhF8G46FbjKGESBa8VgK-Gc/s1600/20.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLTS0seQsUdiesv3nAfdYm5pJhMjHys0QcJPMQnAQ_mK7ua6oGAihE3X_g26a9Ial_FIZLNJlpMV870BnoK-Paci1oXOW3HPxGN8F0JX2RNbouTP-RAtDGdhF8G46FbjKGESBa8VgK-Gc/s640/20.jpg" width="478" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">17<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3VxP-7LKejoKSVr5Vm4_D5YoYqbxknpC1l-eaTWlhtH7wAPeygyqpuh5-tLQjbLWoqudvrdNBc7vjnXHdMzDdRzvo-4Y8fkh7ZfnRAMeKV0ROWcdcw1jh9MNcZ65NCFSp5Ws-KotB2Xo/s1600/21.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3VxP-7LKejoKSVr5Vm4_D5YoYqbxknpC1l-eaTWlhtH7wAPeygyqpuh5-tLQjbLWoqudvrdNBc7vjnXHdMzDdRzvo-4Y8fkh7ZfnRAMeKV0ROWcdcw1jh9MNcZ65NCFSp5Ws-KotB2Xo/s640/21.jpg" width="494" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">18<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXrJHHIOzkthhBpV5m5kj0Xc7NH1tFNLYeJUOmyNqwdY5LoSo5G6UN565AoOk418pnsZXLsa-dPaGlet3v0cIwANGSDPntXWP9AksCIIQYR43YNZBbnQac-LyaJhfgWUZ_5J3ZBNdxPMM/s1600/23.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="636" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXrJHHIOzkthhBpV5m5kj0Xc7NH1tFNLYeJUOmyNqwdY5LoSo5G6UN565AoOk418pnsZXLsa-dPaGlet3v0cIwANGSDPntXWP9AksCIIQYR43YNZBbnQac-LyaJhfgWUZ_5J3ZBNdxPMM/s640/23.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">19<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheM0vOAGO15uFOF_BTKcaRMo9U0vpyBuDnUfdzYXfmOvJjgndMJxEYzZyJ2ZuZ2ag6iclG72pCHBqczlvd44SAE0t1ENOCBwDeKDy87jZytRuJyRXAONr2rLwjZU2Jqa3DaKZ5YUEqHgo/s1600/33.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheM0vOAGO15uFOF_BTKcaRMo9U0vpyBuDnUfdzYXfmOvJjgndMJxEYzZyJ2ZuZ2ag6iclG72pCHBqczlvd44SAE0t1ENOCBwDeKDy87jZytRuJyRXAONr2rLwjZU2Jqa3DaKZ5YUEqHgo/s640/33.jpg" width="474" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">20<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4GADw_4vpt2wcUIcO508-nTzddRYYhyvFwwIuj5odbtk-73m1PDnFojGPVcYQIVZRZyK14VDNEt20xpw_gK17osG4HjfnHVlV-4_mO7sToE4ZIcRXvjN6Q_4JAbi0DwYSaE3sNQmfMcc/s1600/34.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4GADw_4vpt2wcUIcO508-nTzddRYYhyvFwwIuj5odbtk-73m1PDnFojGPVcYQIVZRZyK14VDNEt20xpw_gK17osG4HjfnHVlV-4_mO7sToE4ZIcRXvjN6Q_4JAbi0DwYSaE3sNQmfMcc/s640/34.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">21<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt3yz0Yh5IynOnWCeb88lGCXCaQhiXazE96RmRXra-jrDFWYbnkV4WOrIEltYEf3UYBw1AMIbcMIi16WSuAHAwRkDqy0tCoRwo5J5PDbt0M5tdAXTvLXLJA8kf77eepp9V1nzt35weZX8/s1600/35.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt3yz0Yh5IynOnWCeb88lGCXCaQhiXazE96RmRXra-jrDFWYbnkV4WOrIEltYEf3UYBw1AMIbcMIi16WSuAHAwRkDqy0tCoRwo5J5PDbt0M5tdAXTvLXLJA8kf77eepp9V1nzt35weZX8/s640/35.jpg" width="480" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">22<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMNItYLu5Bo2lKN1VPwWdPq1OfSuELhN8T-Ps5rQnPTAxP9KBElY3hR1MRRUJEMZC2XeyjM4OR9rdxojTx9J_wJumLIan9UHEHSa4eOZwKQ6b9n6MeZRTe_OwfY_pX1qJQKv1gfvMDaJ0/s1600/36.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="295" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMNItYLu5Bo2lKN1VPwWdPq1OfSuELhN8T-Ps5rQnPTAxP9KBElY3hR1MRRUJEMZC2XeyjM4OR9rdxojTx9J_wJumLIan9UHEHSa4eOZwKQ6b9n6MeZRTe_OwfY_pX1qJQKv1gfvMDaJ0/s320/36.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">23<br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgfKTL1Ldw-7UmMmnxY-ulZCbeMHuSQk3BExZlvJS61RzZUeBCKYZ1swh1Pm1jh4rIrld1yVcQyu_UP0Ftuj77Fed_PpdIzlBbEP6UaSYcYQE6Ls7bpVkw_oY351PBw-z8L75IEKduuEs/s1600/37.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgfKTL1Ldw-7UmMmnxY-ulZCbeMHuSQk3BExZlvJS61RzZUeBCKYZ1swh1Pm1jh4rIrld1yVcQyu_UP0Ftuj77Fed_PpdIzlBbEP6UaSYcYQE6Ls7bpVkw_oY351PBw-z8L75IEKduuEs/s320/37.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">24</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVy0FJt4kF85s5MZFUAQ4f3g67jNn_5GJGVa89GdmQp6nLutDHREFBA13N7D0Nesah5Lz5Vy3FUEmKFqbSAVpGzsKnoUQEIXwtmUDEQc-PfbjfSonNrN-pplLsgaOU8OlgW_eSpo24eQw/s1600/40.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="310" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVy0FJt4kF85s5MZFUAQ4f3g67jNn_5GJGVa89GdmQp6nLutDHREFBA13N7D0Nesah5Lz5Vy3FUEmKFqbSAVpGzsKnoUQEIXwtmUDEQc-PfbjfSonNrN-pplLsgaOU8OlgW_eSpo24eQw/s320/40.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">25</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhicwgiJgUohPlUgm_oFS-b9bFZyjKBa3gIroFcwYWxRl5TpecbU-9ah1sfJ6HGguV6T0tcZWQx5KCZZKI1iisKjDQRyS9jZ4pQNUeoPHaHVp-dxaNPg2JRqE9S8Aa5oZK1Y2vAxM_3zV8/s1600/46.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhicwgiJgUohPlUgm_oFS-b9bFZyjKBa3gIroFcwYWxRl5TpecbU-9ah1sfJ6HGguV6T0tcZWQx5KCZZKI1iisKjDQRyS9jZ4pQNUeoPHaHVp-dxaNPg2JRqE9S8Aa5oZK1Y2vAxM_3zV8/s640/46.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">26</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_mE5to4uMfNdGCa3f7i14LzU8B8S8DAVJIvI2CBmhP3FZgUUtzfcIX0hiZ8GzLOIpgQQh8QH6ajG6Pq7qNChls_upbqaZLAcgWSET_hTmp6VSsZldvTCXt0pHO2y-CnGjiPiRIkQb9Dg/s1600/56.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_mE5to4uMfNdGCa3f7i14LzU8B8S8DAVJIvI2CBmhP3FZgUUtzfcIX0hiZ8GzLOIpgQQh8QH6ajG6Pq7qNChls_upbqaZLAcgWSET_hTmp6VSsZldvTCXt0pHO2y-CnGjiPiRIkQb9Dg/s640/56.jpg" width="450" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">27</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit3rm-_XpvZ4tx82LQ6-Q3-L4GLYcyMvEQABeDiW6W78cHPygx7k99ByozW1m3obh-7LcN9_iiaW4qndaMtgovBdRUq1sdjIMl0Ea-THFhmwb3IQJ1ViWtg1370BfyvvgD9RRkBMvR1Ok/s1600/66.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit3rm-_XpvZ4tx82LQ6-Q3-L4GLYcyMvEQABeDiW6W78cHPygx7k99ByozW1m3obh-7LcN9_iiaW4qndaMtgovBdRUq1sdjIMl0Ea-THFhmwb3IQJ1ViWtg1370BfyvvgD9RRkBMvR1Ok/s640/66.jpg" width="450" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">28</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFKZM1oyCRAtNCPjnkHSraIqDnw8SYwjeFx5zXDI-JW8Dg0UxCLDBm2K1H5MDpurlgWo1Of3umcSSPMQf_WWgnyPkEXzt1-TtypdBVDuyDkio1eOtqcbw9GBcOFxCylNzUC1F1-htjtoU/s1600/76.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFKZM1oyCRAtNCPjnkHSraIqDnw8SYwjeFx5zXDI-JW8Dg0UxCLDBm2K1H5MDpurlgWo1Of3umcSSPMQf_WWgnyPkEXzt1-TtypdBVDuyDkio1eOtqcbw9GBcOFxCylNzUC1F1-htjtoU/s640/76.jpg" width="478" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">29</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPTgohN92ysqKqwo5w2_8-hxYDGZhmo3BG68WPfvTsy3jhpGjTsdjVnTdjH2itrUHSADABIOgCQzDQaEnwOqUBqm4pMNZ5PhnCVNzkpunEEGgVLDdRnoH3rmP3N3-YePVYQEo6hiSR5Ho/s1600/86.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPTgohN92ysqKqwo5w2_8-hxYDGZhmo3BG68WPfvTsy3jhpGjTsdjVnTdjH2itrUHSADABIOgCQzDQaEnwOqUBqm4pMNZ5PhnCVNzkpunEEGgVLDdRnoH3rmP3N3-YePVYQEo6hiSR5Ho/s640/86.jpg" width="604" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">30</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgiTW3BejkqOsIxEs2vAlJz3BcjO6Hh1CRHLlyP_6TVqExfFaPbAKUIveWpKePzZVXUtGdfRDcqyp4woThqJfm9XB6V4052msXPuLeARFgq6d_yS9nGHweZi7P8X4DDcoqiSqxjYeGbxt0/s1600/95.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgiTW3BejkqOsIxEs2vAlJz3BcjO6Hh1CRHLlyP_6TVqExfFaPbAKUIveWpKePzZVXUtGdfRDcqyp4woThqJfm9XB6V4052msXPuLeARFgq6d_yS9nGHweZi7P8X4DDcoqiSqxjYeGbxt0/s640/95.jpg" width="614" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">31</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYqUy2rvPlio8Zbfj4ul5NGjKIDVUaSP_C1e3KqfNlMjnH689AUxeNVucB3FhUeqOOdGSBY_PQWLAH3q0df3UcjWtldh5Q4lIkMbVEIvQgk2SgJT4To4_33UZdmyOm2sPNkqi0rHyB2Zk/s1600/106.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="590" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYqUy2rvPlio8Zbfj4ul5NGjKIDVUaSP_C1e3KqfNlMjnH689AUxeNVucB3FhUeqOOdGSBY_PQWLAH3q0df3UcjWtldh5Q4lIkMbVEIvQgk2SgJT4To4_33UZdmyOm2sPNkqi0rHyB2Zk/s640/106.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">32</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWpAIM6qeFsK0i8A10XuGsEBWgFuhavGi-AzOCHQhyphenhyphen2PlWurQ2Yk8JuHJsQjO4F3zVUcy2_LTk2bzeQmYwaBfS4ryfhZ2rDPZ1_tqHdJYfpDwH6tNuTqp1OhoVcXZVI0LqUB91e8UDWts/s1600/118.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWpAIM6qeFsK0i8A10XuGsEBWgFuhavGi-AzOCHQhyphenhyphen2PlWurQ2Yk8JuHJsQjO4F3zVUcy2_LTk2bzeQmYwaBfS4ryfhZ2rDPZ1_tqHdJYfpDwH6tNuTqp1OhoVcXZVI0LqUB91e8UDWts/s640/118.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">33</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBHqy5n_MBtAGsJL0Jya8OrAtYxyC39YjA1GEb8FiyL2RHXOiAuiMaCEC2gVFW4xEktwHckH-AtX9_TpBC3zd4mMdJKIO8yvuehcfoEeAzlrcysgX2ZiTCXlPt1YeYkgFCcXDcMArz-zY/s1600/757.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="190" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBHqy5n_MBtAGsJL0Jya8OrAtYxyC39YjA1GEb8FiyL2RHXOiAuiMaCEC2gVFW4xEktwHckH-AtX9_TpBC3zd4mMdJKIO8yvuehcfoEeAzlrcysgX2ZiTCXlPt1YeYkgFCcXDcMArz-zY/s320/757.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQIVCZ1kzIsLrKV-3SHbUsCKzgErD_sZxWvDYuQ0IKM4mMoWEDX2eT5_a94bNfNBw133Y_bgwU8eHrNQcAkHxwwaljumDzgimPSK5TyUy_9vi4JQSW6rLGBGn8W-gEqfioE_L9WXjp_QU/s1600/535172_788624601249709_2083268690355154867_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="426" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQIVCZ1kzIsLrKV-3SHbUsCKzgErD_sZxWvDYuQ0IKM4mMoWEDX2eT5_a94bNfNBw133Y_bgwU8eHrNQcAkHxwwaljumDzgimPSK5TyUy_9vi4JQSW6rLGBGn8W-gEqfioE_L9WXjp_QU/s640/535172_788624601249709_2083268690355154867_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">34</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAw6nwgkOfi5UKvshnkWAIgWQCuOp8z4V7g3AJz2p5h6PG-iefkfyUiA3uZ8u4s0u-h4L3jQrlZtLGubS6PIABzjaG6eyBvtPCJVaMzD6uR7199-eYnkr7zORU5uRKkBHg09OUvhBRX-M/s1600/940976_788624701249699_3634757383136678576_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAw6nwgkOfi5UKvshnkWAIgWQCuOp8z4V7g3AJz2p5h6PG-iefkfyUiA3uZ8u4s0u-h4L3jQrlZtLGubS6PIABzjaG6eyBvtPCJVaMzD6uR7199-eYnkr7zORU5uRKkBHg09OUvhBRX-M/s1600/940976_788624701249699_3634757383136678576_n.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">35</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizZy_30EfveiVNX3U2nazh1r9-T-SXmvE6Zk3K_f-KihrJfSRJVLNJ9dSfMzBTaUMCc8nqNwcgEMRhxYY8zugtEOzERRTvYjuR5hsfACWJ4NYHsbQVy3Ddf9MWo2PCHX9wgb9gCgSAWIU/s1600/946123_788624867916349_8743240333449369474_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizZy_30EfveiVNX3U2nazh1r9-T-SXmvE6Zk3K_f-KihrJfSRJVLNJ9dSfMzBTaUMCc8nqNwcgEMRhxYY8zugtEOzERRTvYjuR5hsfACWJ4NYHsbQVy3Ddf9MWo2PCHX9wgb9gCgSAWIU/s1600/946123_788624867916349_8743240333449369474_n.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">36</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMaDAABTcxOzZowzI_Sp691Y08j0IFhTvRol8JYqhgRtpl6gMVto4kaIgI2wI6mdeZ6b15AeTNoJO0RkDH9CcavXUYcBEt-7aACP2iArwDAX_nwTxMMa5W8j4bRE0TgFghNOre3nEc83I/s1600/1005511_788624767916359_3979600992404033762_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMaDAABTcxOzZowzI_Sp691Y08j0IFhTvRol8JYqhgRtpl6gMVto4kaIgI2wI6mdeZ6b15AeTNoJO0RkDH9CcavXUYcBEt-7aACP2iArwDAX_nwTxMMa5W8j4bRE0TgFghNOre3nEc83I/s1600/1005511_788624767916359_3979600992404033762_n.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">37</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6646rcTvPeAGZaz4Il52ghKOq24IiwnpMqDpAEv7_B9sfZI-TRSK6LW15X52jGditXodAgf7wtYT9ZgUibvSUuzRJ6dTCtXrCwcsfss8kakK3sW7M3T28KznnzxO-UzkXE7005LHtdAc/s1600/10418492_788624464583056_7209198836718171583_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6646rcTvPeAGZaz4Il52ghKOq24IiwnpMqDpAEv7_B9sfZI-TRSK6LW15X52jGditXodAgf7wtYT9ZgUibvSUuzRJ6dTCtXrCwcsfss8kakK3sW7M3T28KznnzxO-UzkXE7005LHtdAc/s640/10418492_788624464583056_7209198836718171583_n.jpg" width="480" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">38</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0vNvhZNTOBZM7sjLHOeWv_pXgSzscET5uGVru9CK6Rq47jAuE0gbjRiUdQQbjJvknAMgE6z2MbMGXjV4ypurGanOWJn6fZ4oikcjI567BmS1EBVLLosqnwVrcY6OVAG8KcpUljUQbMjw/s1600/12417911_788624617916374_3019061907091646690_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="632" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0vNvhZNTOBZM7sjLHOeWv_pXgSzscET5uGVru9CK6Rq47jAuE0gbjRiUdQQbjJvknAMgE6z2MbMGXjV4ypurGanOWJn6fZ4oikcjI567BmS1EBVLLosqnwVrcY6OVAG8KcpUljUQbMjw/s640/12417911_788624617916374_3019061907091646690_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">39</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsaPPErwTXrqfmZ6LYQ8AUCkVEJ8rX_ERC4iyu5kqUGo-OuhwdWGyo5KEbmyMqfLueKyMSIAoteHSozISEzy76Y0wHG5rnH8w3qcacpVfZYx8kP-iUHArsZfUMCXsfnatzZUiW4n58pms/s1600/12438960_788624751249694_3399452153128302232_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="502" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsaPPErwTXrqfmZ6LYQ8AUCkVEJ8rX_ERC4iyu5kqUGo-OuhwdWGyo5KEbmyMqfLueKyMSIAoteHSozISEzy76Y0wHG5rnH8w3qcacpVfZYx8kP-iUHArsZfUMCXsfnatzZUiW4n58pms/s640/12438960_788624751249694_3399452153128302232_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">40</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4kN1Fa9Okkh6iFcTE7D-ptOjNJfZ_x6oMt678iSbRT7d-IuGD2q6lq9m4rVKT4cIofyIRAt_y1G0weLDl6ChmNvLpxYXzTm1JqjAm9JL9Bm9XpgqGj37nDhgG-d62yb0CoU_VL6-9oNY/s1600/12472260_788624487916387_6564092057942394023_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4kN1Fa9Okkh6iFcTE7D-ptOjNJfZ_x6oMt678iSbRT7d-IuGD2q6lq9m4rVKT4cIofyIRAt_y1G0weLDl6ChmNvLpxYXzTm1JqjAm9JL9Bm9XpgqGj37nDhgG-d62yb0CoU_VL6-9oNY/s640/12472260_788624487916387_6564092057942394023_n.jpg" width="480" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">41</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEL2SuOUo9XjHcuQ0m0v_hMEslZwCR7WHyzlMJIbLwZ-DSaZRiqjhXuhZtHm1dRgtdc3IE3XuZIFOf65wlo1e7BaGuwZ3jcgM9j73b5SMIlYvGToHUqU1Tu3rPLmMLbtdpIzTMs47BOeo/s1600/12494964_788624657916370_2654816732716379941_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEL2SuOUo9XjHcuQ0m0v_hMEslZwCR7WHyzlMJIbLwZ-DSaZRiqjhXuhZtHm1dRgtdc3IE3XuZIFOf65wlo1e7BaGuwZ3jcgM9j73b5SMIlYvGToHUqU1Tu3rPLmMLbtdpIzTMs47BOeo/s640/12494964_788624657916370_2654816732716379941_n.jpg" width="494" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">42</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0etxmIQV2JF00evcOcN89dy7KaVw4dp8_oozpLFCZ3SqPzGeH67hTwjqKY7QIjecc8vUfyzzlqMWh4o7jByEspCvuAzcMbKS31K7qsH9hqoL5miihRITdGtGmTECOxFN5hiQqu1cpJv4/s1600/12494972_788624584583044_5588709528740484062_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0etxmIQV2JF00evcOcN89dy7KaVw4dp8_oozpLFCZ3SqPzGeH67hTwjqKY7QIjecc8vUfyzzlqMWh4o7jByEspCvuAzcMbKS31K7qsH9hqoL5miihRITdGtGmTECOxFN5hiQqu1cpJv4/s640/12494972_788624584583044_5588709528740484062_n.jpg" width="424" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">43</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgd5aEPVuUAHzxvncRdW_PuFQKRIO1Ta5zV42FZ3JtQ_e6MoXJRJDy7VEFQ6AjQVVctEI_ANr1KMBaWqUrxFKhkSrcCgQuWAZCI04lS8w5elq1kKXqc55tzJECK4E_4hQMrNxHbsKKuCZM/s1600/12507285_788624894583013_8457952487848265131_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgd5aEPVuUAHzxvncRdW_PuFQKRIO1Ta5zV42FZ3JtQ_e6MoXJRJDy7VEFQ6AjQVVctEI_ANr1KMBaWqUrxFKhkSrcCgQuWAZCI04lS8w5elq1kKXqc55tzJECK4E_4hQMrNxHbsKKuCZM/s640/12507285_788624894583013_8457952487848265131_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">44</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGPRIGw2C9lexDM0Lk5P0hh4Gf2CVbe2fyvj2v_H84zGHVv42-4STXKngkd379pVD_NUt9OBcF0On4hyphenhyphenaI3fuu8u59UKRfmeH0iv1VHphRNpQtE4M1CoY23baHi2NnKcUjDa44fzL3JWM/s1600/12507309_788624917916344_5263448857887464717_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="476" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGPRIGw2C9lexDM0Lk5P0hh4Gf2CVbe2fyvj2v_H84zGHVv42-4STXKngkd379pVD_NUt9OBcF0On4hyphenhyphenaI3fuu8u59UKRfmeH0iv1VHphRNpQtE4M1CoY23baHi2NnKcUjDa44fzL3JWM/s640/12507309_788624917916344_5263448857887464717_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">45</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUXEJur2XLuuM8CmAaVHS9LASs9u5eloBTX18O7s1EbYAR_QF-Ody5-ba2qg17GS-1gvQRaEEVqTIw8iH-zansq7lCZJhO6GTsglFty_lNfw2FNqLJzF4SMSC2Ob_kcgK-MkISla-vcr4/s1600/12507639_788624791249690_2974645602103442254_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUXEJur2XLuuM8CmAaVHS9LASs9u5eloBTX18O7s1EbYAR_QF-Ody5-ba2qg17GS-1gvQRaEEVqTIw8iH-zansq7lCZJhO6GTsglFty_lNfw2FNqLJzF4SMSC2Ob_kcgK-MkISla-vcr4/s640/12507639_788624791249690_2974645602103442254_n.jpg" width="235" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">46</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiws63f5moaKltZ55DI6KGMkENP9gMD5mUspkD6C_TwqY_hezFIn_FaPJ07D-wFlT6CacJn5T4p00VAEIfqTbbHF_t4BhMN_ThDB1VMae4KFuch699y4_mR9ruGo00R8tVlhMkORZOL0kc/s1600/12509392_788624544583048_9155680300519570781_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="618" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiws63f5moaKltZ55DI6KGMkENP9gMD5mUspkD6C_TwqY_hezFIn_FaPJ07D-wFlT6CacJn5T4p00VAEIfqTbbHF_t4BhMN_ThDB1VMae4KFuch699y4_mR9ruGo00R8tVlhMkORZOL0kc/s640/12509392_788624544583048_9155680300519570781_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">47</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiylcZfpnoMpybQ-V3mrOYdoT9UTt4aEyF7aDKm8ubr0WMwjFMw0Zs2Az8DXpdk5piQoi6lgsMdhS89AG9sQmK7Y3EHrvSBIYp8RdroXWP08P5XJwX_Y8-whweQMv4Wa2bnFl60UoxkBog/s1600/12509419_788624721249697_3040951074339976982_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="530" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiylcZfpnoMpybQ-V3mrOYdoT9UTt4aEyF7aDKm8ubr0WMwjFMw0Zs2Az8DXpdk5piQoi6lgsMdhS89AG9sQmK7Y3EHrvSBIYp8RdroXWP08P5XJwX_Y8-whweQMv4Wa2bnFl60UoxkBog/s640/12509419_788624721249697_3040951074339976982_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">48</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiegpA2nu9AnkcXJ-lSExX65DE3XnMWvvagZ9AWxStpueiNtjx_awsWfA8md4kIVBeqjYDdIseyBi8-_6ms33d2wE3bhJ6s2gEljD_lr7T8dAStIsecMxcwp2iEeFWZOhU1GUmN0w_puuE/s1600/12509550_788624451249724_3066660365890007359_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiegpA2nu9AnkcXJ-lSExX65DE3XnMWvvagZ9AWxStpueiNtjx_awsWfA8md4kIVBeqjYDdIseyBi8-_6ms33d2wE3bhJ6s2gEljD_lr7T8dAStIsecMxcwp2iEeFWZOhU1GUmN0w_puuE/s640/12509550_788624451249724_3066660365890007359_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">49</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzsMa8umiHm9-1nbxJyiBdqoDb3IIlL3X-e2zivcrkWLkNfndAT5omuFDnf_G4SlxUyV0YAUHi0Vt0lYDAquq3IHAVP4vw9ao4ZTtL8JZYqmxJWwtVwK3PzryY5v16rNIT92WVKg_5fvw/s1600/12509557_788624521249717_1096147610862119124_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzsMa8umiHm9-1nbxJyiBdqoDb3IIlL3X-e2zivcrkWLkNfndAT5omuFDnf_G4SlxUyV0YAUHi0Vt0lYDAquq3IHAVP4vw9ao4ZTtL8JZYqmxJWwtVwK3PzryY5v16rNIT92WVKg_5fvw/s1600/12509557_788624521249717_1096147610862119124_n.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">50</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheNEAEVC0Q0-xtV3vF01Qo2OIG8IQBW_HTmAvusKs8EO0Ha7Z-MrfUadOcyBMr41qgGuwtx8xtW0n1u_yLspbnInKntf3z1IGFOseoRh5a2obBN21iXt7dbtlJn-HsbjBtoyPJDYeiqyQ/s1600/12509785_788624811249688_11746955309443245_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheNEAEVC0Q0-xtV3vF01Qo2OIG8IQBW_HTmAvusKs8EO0Ha7Z-MrfUadOcyBMr41qgGuwtx8xtW0n1u_yLspbnInKntf3z1IGFOseoRh5a2obBN21iXt7dbtlJn-HsbjBtoyPJDYeiqyQ/s640/12509785_788624811249688_11746955309443245_n.jpg" width="430" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">51</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie0c4RhHy6gOkthluz4IpKO_eIw6yS4oViwOxUX9BdeR6fcKizX7isj7X4-fg2l5WvLrqqaKVfdqj_rZDKM9XreWeI94A4hDJAaJFbKY0zRqj9370XPD9c5cwIvOtw8SPnZVE-XN99by0/s1600/12510357_788624847916351_1295831692530279974_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="462" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie0c4RhHy6gOkthluz4IpKO_eIw6yS4oViwOxUX9BdeR6fcKizX7isj7X4-fg2l5WvLrqqaKVfdqj_rZDKM9XreWeI94A4hDJAaJFbKY0zRqj9370XPD9c5cwIvOtw8SPnZVE-XN99by0/s640/12510357_788624847916351_1295831692530279974_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">52</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwuvzukQCjjW3LKRcqxlidQVkcQ5usVkfDj92ltj_A8esqkyVwWzxPATjNJUCkhScsjOL2jkh4GixYIgnwD2sLjj7Ef8ThbBHz1E1uV_QZwx3OAbaHpm07CwtrBwuZkl-o6vsngSJ4YfE/s1600/12512801_788624671249702_7562544157442106077_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwuvzukQCjjW3LKRcqxlidQVkcQ5usVkfDj92ltj_A8esqkyVwWzxPATjNJUCkhScsjOL2jkh4GixYIgnwD2sLjj7Ef8ThbBHz1E1uV_QZwx3OAbaHpm07CwtrBwuZkl-o6vsngSJ4YfE/s640/12512801_788624671249702_7562544157442106077_n.jpg" width="412" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">53</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6SxWNqu6oACfuP5IHOTjVfM6nUccT1RqIEQA-ZktW3k6FcwaY6bUu311MXp60IHQSotnew-977Hi9xbtWPdG7pV3suWO4WHpEgJB3oni9UH5yPBiQDSsiWMKwm73Akktk1vMIpUCpq5k/s1600/12522920_788624931249676_2888017072698993518_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="548" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6SxWNqu6oACfuP5IHOTjVfM6nUccT1RqIEQA-ZktW3k6FcwaY6bUu311MXp60IHQSotnew-977Hi9xbtWPdG7pV3suWO4WHpEgJB3oni9UH5yPBiQDSsiWMKwm73Akktk1vMIpUCpq5k/s640/12522920_788624931249676_2888017072698993518_n.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">54</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFjhhKQ0ZMHr9BHwK6w4FddeIfnRX2OJL4vUflgZAD9bIVcJVz_KecoAyQLphepTki2Uz1Hw5QwvwuP519ij32lo9g4OukbodIPnPqwd7n2A3YhYe0hgl9MHCh-N19fuL9PBng8Oyg8DU/s1600/12522982_788624634583039_1733231432746821124_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFjhhKQ0ZMHr9BHwK6w4FddeIfnRX2OJL4vUflgZAD9bIVcJVz_KecoAyQLphepTki2Uz1Hw5QwvwuP519ij32lo9g4OukbodIPnPqwd7n2A3YhYe0hgl9MHCh-N19fuL9PBng8Oyg8DU/s1600/12522982_788624634583039_1733231432746821124_n.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">55</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3KP8hV5whqlD0qMvX-sLsJfaDLKOJdMH-h6ZG0gyiGXiTX03OcrdWo3NXQuPmn3daDSBDl9CNpN1k0w-qJOX70f09sACczOvi4PXB8P43AS-6W9LLUwvnw9NtW58ixi59VV2fs-ZxYxs/s1600/12523082_788624507916385_2003311331983630424_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3KP8hV5whqlD0qMvX-sLsJfaDLKOJdMH-h6ZG0gyiGXiTX03OcrdWo3NXQuPmn3daDSBDl9CNpN1k0w-qJOX70f09sACczOvi4PXB8P43AS-6W9LLUwvnw9NtW58ixi59VV2fs-ZxYxs/s640/12523082_788624507916385_2003311331983630424_n.jpg" width="450" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">56</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiAQMls14egTAQsfshD-dTlBX6mLo12GLBlpzbC1mFerJSLcQ5CLYedDOGUCe3S_OlnOk1qvlMogpM3dgCIxJrwJ9MlsT-0re2OxL-Xaqn_5s0datNH951HIKI3sEyqMduLGiNZFPF9n8/s1600/25966135322052818_p5I33X8O_c.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiAQMls14egTAQsfshD-dTlBX6mLo12GLBlpzbC1mFerJSLcQ5CLYedDOGUCe3S_OlnOk1qvlMogpM3dgCIxJrwJ9MlsT-0re2OxL-Xaqn_5s0datNH951HIKI3sEyqMduLGiNZFPF9n8/s1600/25966135322052818_p5I33X8O_c.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">57</td></tr>
</tbody></table>
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: open_sansregular, sans-serif, Arial; font-size: 14px; line-height: 20px;"><br /></span>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-6858892124787151852015-10-01T23:14:00.000-07:002019-11-04T17:52:44.094-08:00โลดทะนงแดง แก้พิษงู สัตว์มีพิษ ถอนพิษเมาเบื่อ<div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYX8-us1KLtN1FmRvgc8mXvp41cXcwj4ItdhDg8vj2DmIWaMK7SnTK4F76Bj7m0kqvXjwbbPMJ3t5CzfKkar65gGtdn23yCJ-8yJR9eJG01-xgbdkn1KqpMk67GVGvCCb0qd5vcaTtAPs/s1600/zzzz0.jpg" style="background-color: transparent; text-align: center;"><img border="0" height="267" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYX8-us1KLtN1FmRvgc8mXvp41cXcwj4ItdhDg8vj2DmIWaMK7SnTK4F76Bj7m0kqvXjwbbPMJ3t5CzfKkar65gGtdn23yCJ-8yJR9eJG01-xgbdkn1KqpMk67GVGvCCb0qd5vcaTtAPs/s400/zzzz0.jpg" width="400" /></a></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b><br /></b></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b>โลดทะนงแดง แก้พิษงู สัตว์มีพิษ ถอนพิษเมาเบื่อ</b></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;">ขอขอบคุณภาพประกอบจาก <a href="http://pharmacy.mahidol.ac.th/siri/index.php?page=search_detail&medicinal_id=355" style="text-decoration: none;" target="_blank">อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล</a></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b><br /></b></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b> ในแวดวงหมอพื้นบ้านที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาพิษงูหรือสัตว์มีพิษกัดต่อย ต้องรู้จักประโยชน์และการใช้ประโยชน์ของสมุนไพรโลดทะนงแดงเป็นอย่างดี เพราะสมุนไพรตัวนี้มีความโดดเด่นในการถอนพิษสัตว์ร้ายได้ดีมาก บางรายมีพิษตกค้างสะสมในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี แต่พอได้รับการรักษาจากหมอพื้นบ้านผู้เชี่ยวชาญโดยการใช้โลดทะนงแดงถอนพา อาการที่เกิดจากพิษนั้นก็หายลุล่วงด้วยดี</b></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div> วิธีการใช้ในการรักษาพิษงู หมอพื้นบ้านจะใช้ส่วนของรากโลดทะนงแดง <br /><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> <img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/arrow_orange.gif" /> </b>ใช้ราก ฝนกับน้ำมะนาว น้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง พิษแมงมุม ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา</div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b style="font-size: 9pt;"><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/arrow_orange.gif" /></b> ใช้ราก ผสมกับเมล็ดหมาก ฝนกับน้ำรับประทาน แก้พิษงู หรือผสมกับน้ำมะนาวใช้ทาแผลแก้พิษงู</div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b style="font-size: 9pt;"><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/arrow_orange.gif" /></b> ใช้ราก ฝนน้ำกินทำให้อาเจียน เพื่อถอนพิษคนกินยาเบื่อ เมาพิษเห็ดและหอยแก้พิษงู แก้เสมหะเป็นพิษ<span style="font-size: 9pt;"> (เสมหะหรืออุจจาระเป็นมูกเลือด) แก้หืด แก้วัณโรคเป็นยาระบาย </span></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><span style="font-size: 9pt;"><br /></span></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b style="font-size: 9pt;"><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/arrow_orange.gif" /></b> ใช้ราก ฝนกับน้ำมะนาวหรือสุรา รับประทานแก้พิษงู </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b style="font-size: 9pt;"><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/arrow_orange.gif" /></b> ใช้ราก ฝนกับน้ำใช้ทาแก้ฟกช้ำ เคล็ดบวมเกลื่อนฝี หรือดูดหนอง แก้ปวดฝีแตก </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b style="font-size: 9pt;"><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/cs_icon/arrow_orange.gif" /></b> แพทย์แผนไทยทางอีสาน ใช้รากต้มดื่มแก้วัณโรค</div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b>นอกจากนี้ ยังใช้ถอนพิษเบื่อเมา เช่น พิษจากเห็ด พิษเมาหอย ยาเบื่อหรือยาพิษ จัดเป็นพวกยาระบายที่ถ่ายพิษของเสียออกจากร่างกาย</div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b>มีรายงานการวิจัยว่าโลดทะนงแดงสามารถต้านพิษงูในสัตว์ทดลองได้</b></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><span style="color: navy;"><b>โลดทะนงแดง</b> มีชื่อวิทยาศาสตร์ Trigonostemonreidioides (Kurz) Craib อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae ชื่อเรียกอื่นตามท้องถิ่นข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี, ประจวบคีรีขันธ์), ดู่เบี้ย ดู่เตี้ย (เพชรบุรี), ทะนง รักทะนง (นครราชสีมา), ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์), นางแซง (อุบลราชธานี), โลดทะนงแดง (บุรีรัมย์), หนาดคำ (เหนือ) หัวยาเข้าเย็นเนิน ข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี, ประจวบคีรีขันธ์</span>)</div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px; text-align: center;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><b>โลดทะนงแดง</b> เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงได้ถึง 1 เมตร ลำต้นเรียวเล็ก ขึ้นเป็นกอ ทุกส่วนของต้นมีขน ลำต้นมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น ใบ เดี่ยวเรียงสลับ เนื้อใบหนา แผ่นใบรูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมใบหอก โคนใบมน ปลายใบแหลม เห็นเส้นใบย่อยเห็นชัด และมีขนนุ่มหนาแน่นบนผิวใบทั้งสองด้าน </div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQUNbiHZ7R_ucU8y0SbdWymas_FRdA1rZTzCZN9lHOxi8NhAV2kjMhukRCMuX-Daiu24BVe0kzP9xrKGATFReuXJygp4sj7HQNltTOmdPLcEAWVQduoyW1UB6rJZxyPzo9mmlyahzCCdk/s1600/zzzz1.jpg" style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: medium; line-height: normal; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><img border="0" height="261" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQUNbiHZ7R_ucU8y0SbdWymas_FRdA1rZTzCZN9lHOxi8NhAV2kjMhukRCMuX-Daiu24BVe0kzP9xrKGATFReuXJygp4sj7HQNltTOmdPLcEAWVQduoyW1UB6rJZxyPzo9mmlyahzCCdk/s400/zzzz1.jpg" width="400" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small;">โลดทะนงแดง แก้พิษงู สัตว์มีพิษ ถอนพิษเมาเบื่อ</span></td></tr></tbody></table><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b><span style="color: green;">ดอก แบบกระจะ ดอกสีขาว ชมพูม่วงเข้มหรือเกือบดำ ออกเป็นช่อตามซอกใบและตามกิ่งก้าน ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้มีจำนวนมากกว่าอยู่บริเวณโคนช่อมีลักษณะตูมกลม ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ก้านดอกมีขน มีกลีบดอก 5 กลีบ ไม่มีขน มีเกสรเพศผู้ 6 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นแท่งเดียว ดอกเพศเมียตูมรูปไข่ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีขนจานฐานดอกล้อมรอบฐานของรังไข่ มีรังไข่เหนือวงกลีบ กลีบดอกสีขาว</span> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><br /></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b>ผลแห้งแตกได้ รูปค่อนข้างกลม มีขนสั้นนุ่มปกคลุมหนาแน่น แบ่งเป็น 3 พูชัดเจน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 มิลลิเมตร มีก้านสีแดง ยาว 3-5 เซนติเมตร เมล็ด รูปค่อนข้างกลมหรือรูปไข่แกมสามเหลี่ยม ผิวเรียบ</div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b style="font-size: 9pt;"> </b>ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดเจริญงอกงามในฤดูฝน พบถึงฤดูแล้งต้นมักตายแล้วเกิดหน่อใหม่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน พบตามป่าเบญจพรรณแล้ง </div><br /><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8957b7GGQ2Ynu00R-3gkMUg5qEz4MwEVOcg-5rUJMqAYM8xpTURXvqHONjL68zP8Fei4vaU1vrtd7J6gTypPllz3Bl2NDK8wy38DVyD7U5QewrLmABy90eKQpwFdVuOHj_YqMmB4tEbc/s1600/zzzz2.jpg"><img border="0" height="263" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8957b7GGQ2Ynu00R-3gkMUg5qEz4MwEVOcg-5rUJMqAYM8xpTURXvqHONjL68zP8Fei4vaU1vrtd7J6gTypPllz3Bl2NDK8wy38DVyD7U5QewrLmABy90eKQpwFdVuOHj_YqMmB4tEbc/s400/zzzz2.jpg" width="400" /></a></div><div style="text-align: center;">โลดทะนงแดง แก้พิษงู สัตว์มีพิษ ถอนพิษเมาเบื่อ</div><br /><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><br /></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><br /></td></tr></tbody></table><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><span style="font-size: 9pt;"> </span><span style="color: maroon;">สรรพคุณทางยา ส่วนราก รสร้อน ใช้ฝนดื่มทำให้อาเจียน ทำให้ถ่าย ใช้ถอนพิษ ยาเมาเบื่อ ถอนพิษเห็ดเมาเบื่อ ถอนพิษเสมหะ แก้หืด คุมกำเนิด แก้วัณโรค ฝนกับน้ำมะนาวหรือสุรารับประทานแก้พิษงู และสัตว์มีพิษได้ทุกชนิด ฝนกับน้ำทาแก้ฟกช้ำ เคล็ดยอกบวม เกลื่อนฝี ดูดหนอง ปวดฝี</span></div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"> </div><div style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 23px;"><b><span style="font-size: 9pt;"> </span>ใครที่นิยมปลูกพันธุ์ไม้สมุนไพรก็ไม่ควรพลาดที่จะลองหาโลดทะนงแดงมาปลูกและศึกษาประโยชน์ไว้ใช้ในคราวจำเป็น</b></div>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-44931535184863355692015-10-01T22:39:00.000-07:002019-11-04T17:52:44.214-08:00หนานเฉาเหว่ย (หนานเฝยเฉ่า) ลดเบาหวาน โรคเกาต์ โรคความดันสูง<div style="background-color: white; color: #141823; font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 19.32px; margin-bottom: 6px;"><br /></div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwAFmMnlo9tHDH9GAsb6SSAJlXG6RY_LU_VCUuZxcHcVD6qTe_E3CjdvbjHDc3Q5GqPu72D31TkY3-JDwlRMJxssGwSJ7Dxll1OAL_T_7aLYyn3juR086rdeO5Hz4mFV-6NnjtCF4sYFQ/s1600/zzzz1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwAFmMnlo9tHDH9GAsb6SSAJlXG6RY_LU_VCUuZxcHcVD6qTe_E3CjdvbjHDc3Q5GqPu72D31TkY3-JDwlRMJxssGwSJ7Dxll1OAL_T_7aLYyn3juR086rdeO5Hz4mFV-6NnjtCF4sYFQ/s400/zzzz1.jpg" width="400" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">หนานเฉาเหว่ย (หนานเฝยเฉ่า) ลดเบาหวาน โรคเกาต์ โรคความดันสูง</td></tr></tbody></table><br /><div style="background-color: white; color: #141823; font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 19.32px; margin-bottom: 6px;"><span style="line-height: 19.32px;">**ต้นหนานเฉาเหว่ยสมุนไพรจากจีนเอาใบมาต้มดื่มต่างน้ำชาแก้โรคเก๊าท์,ลดความดันและเบาหวาน***</span></div><div style="background-color: white; color: #141823; font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 19.32px; margin-bottom: 6px; margin-top: 6px;">ลักษณะของต้น หนานเฉาเหว่ย<br />หนานเฉาเหว่ย เป็นไม้ยืนต้น สูง 6-8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายแหลม โคนป้านหรือเกือบมน ใบอ่อนและใบแก่มีรสขมจัดตามที่กล่าวข้างต้น ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกเป็นสีขาว “ผล” ทรงกลม มีเมล็ด<br />ต้นไม้นี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว นิยมปลูกเฉพาะตามสวนสมุนไพรจีนและสวนสมุนไพรไทยเพื่อใช้ประโยชน์เป็นยา โดยใบสดของ “หนานเฉาเหว่ย” มีรสขมจัด เมื่อเคี้ยวกินสดตอนแรกจะขมในปากมาก แต่พอกินไปได้สักพักจะรู้สึกว่ามีรสหวานในปากและลำคอ ซึ่งใบสดดังกล่าวตำรายาจีนระบุว่า สามารถช่วยลดเบาหวาน แก้อาการของโรคเกาต์และลดความดันโลหิตสูงได้</div><div style="background-color: white; color: #141823; display: inline; font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 19.32px; margin-top: 6px;">วิธีใช้<br />แบบง่ายๆคือ เอาใบสด 5-7 ใบ ต้มกับน้ำจนเดือด แล้วดื่มครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเช้าเย็น จะสังเกตได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ อาการที่เป็นจะดีขึ้น จากนั้นต้มดื่มบ้างหยุดบ้าง เพื่อควบคุมอาการ<br />ส่วนใครที่มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือปวดตามข้อเพราะทำงานหนักต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่ปวดที่เกิดจากกระดูกเสื่อม ให้เอาใบสดของ “หนานเฉาเหว่ย” 1-2 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วเคี้ยวกินได้เลย วันละครั้ง ประมาณ 1 อาทิตย์ อาการปวดเมื่อยจะดีขึ้น จากนั้นเคี้ยวกินบ้างหยุดบ้างเพื่อควบคุมอาการเช่นเดียวกัน หรือจะใช้ตากแห้งชงเป็นชาก็ได้</div><div><div style="background-color: white; color: #141823; display: inline; font-family: helvetica, arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 19.32px; margin-top: 6px;"><br /></div></div><div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><tr><td><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8YJTVxoX20euYGAHbsCPUdcWKmJEiMhCsqjdPh2v2-OKTDyE8v4GIzEmfMnoPYTh5tXW-hxYHYvyCUGcLn8a4MVjxGUHwDsLMjC545TJF3Kd6CND_R95-gDRC7JoGrtGfxDcp_JW8oBM/s1600/zzzz0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8YJTVxoX20euYGAHbsCPUdcWKmJEiMhCsqjdPh2v2-OKTDyE8v4GIzEmfMnoPYTh5tXW-hxYHYvyCUGcLn8a4MVjxGUHwDsLMjC545TJF3Kd6CND_R95-gDRC7JoGrtGfxDcp_JW8oBM/s400/zzzz0.jpg" width="400" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="font-size: 12.8px;">หนานเฉาเหว่ย (หนานเฝยเฉ่า) ลดเบาหวาน โรคเกาต์ โรคความดันสูง</td></tr></tbody></table></div>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-48693333482030011222015-09-08T18:24:00.004-07:002015-09-08T18:24:45.865-07:00มหัศจรรย์!!!บังคับ “กล้วย” แทงเครือกลางลำต้น จัดการง่าย ผลผลิตงาม ลดต้นทุน<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsMO57KFTvkTWay2tgGtlQf9xOegvDkL07n-8h2OcDfifU6WW-YDS0faSkSt2FAQX1nkdm57jn2mcHZf4jMyADxTQbUnXTuuIY6ZyEwV-jDgi5F84ArVbmliYMw1nANPQdtZxUBZF0CzE/s1600/1437538770%255B1%255D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="425" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsMO57KFTvkTWay2tgGtlQf9xOegvDkL07n-8h2OcDfifU6WW-YDS0faSkSt2FAQX1nkdm57jn2mcHZf4jMyADxTQbUnXTuuIY6ZyEwV-jDgi5F84ArVbmliYMw1nANPQdtZxUBZF0CzE/s640/1437538770%255B1%255D.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; -webkit-text-decorations-in-effect: none; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; border-collapse: separate; color: black; font-family: 'Times New Roman'; font-size: xx-small; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: -webkit-auto; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;"><span class="Apple-style-span" style="color: #333333; font-family: tahoma; font-size: 13px; text-align: -webkit-center;"><b>“กล้วย” แทงเครือกลางลำต้น</b></span></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<br />
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มีวิธีจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างอยู่หมัด ด้วยการบังคับให้กล้วยตกเครือกลางลำต้นเพื่อง่ายต่อการจัดการดูแล การเก็บเกี่ยวผลผลิต และลดต้นทุนค่าใช้จ่าย<br />
<br />
คุณนิคม วงศ์นันตา นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ จากสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และทีมงาน ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการบังคับให้กล้วยตกเครือกลางลำต้นมากว่า 3 ปี จนประสบความสำเร็จ<br />
<br />
<br />
“เราได้ทำการศึกษาช่วงเวลาของการเกิดปลีกล้วยด้วยการสังเกตลักษณะการเจริญเติบโตพื้นฐาน คือเมื่อกล้วยมีอายุประมาณ 6-8 เดือน กล้วยจะมีลำต้นขนาดใหญ่พร้อมที่จะออกปลี โดยที่ต้นแม่จะตกเครือกล้วยก่อนต้นลูก ต้นหลาน ไล่เลียงกันไป และที่สำคัญคือ การสังเกต “ใบธง” ของกล้วยซึ่งบ่งชี้ระยะของการออกปลีในแกนกลางลำต้น<br />
<br />
<br />
<br />
ซึ่งศึกษาด้วยการผ่าลำต้น จึงพบว่า ระยะที่พอเหมาะในการเจาะลำต้นเพื่อบังคับให้กล้วยตกเครือนั้น คือระยะที่ใบธง (ใบยอดสุดท้ายของกล้วยซึ่งมีขนาดสั้นและเล็กมาก) ชูก้านใบขึ้นสู่ท้องฟ้า มีลักษณะม้วนหลวมๆ ไม่แน่นเกินไป ไม่คลี่เกินไป นั่นคือระยะพอเหมาะที่จะเจาะลำต้นบังคับให้กล้วยตกเครือกลางลำต้นในระดับความสูง 1.5 เมตร ซึ่งเป็นความสูงระดับพอดีในการจัดการดูแลกล้วย การเก็บเกี่ยวผลผลิต”<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ขั้นตอนการบังคับให้กล้วยตกเครือกลางลำต้น</b></span><br />
<br />
<span style="color: red;">- อันดับแรกให้ดูต้นที่สมบูรณ์ มีอายุ 6-8 เดือน (นับจากการปลูกใหม่หรือแทงหน่อใหม่)</span><br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6BvVhL3ARJC_DT1QLUkl5KOmCubJh0gnohgRRLjiQ0lidrO7hr3yS8i12YJ0vzFcrPtjgoGZ2Hz667_R9CxaJXBBlOtoSURipfCF-6y5HYacy5xSto5QVBJI9DEZ7lFyUk4-9Gg-OfDM/s1600/1437538849%255B1%255D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6BvVhL3ARJC_DT1QLUkl5KOmCubJh0gnohgRRLjiQ0lidrO7hr3yS8i12YJ0vzFcrPtjgoGZ2Hz667_R9CxaJXBBlOtoSURipfCF-6y5HYacy5xSto5QVBJI9DEZ7lFyUk4-9Gg-OfDM/s320/1437538849%255B1%255D.jpg" width="213" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; -webkit-text-decorations-in-effect: none; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; border-collapse: separate; color: black; font-family: 'Times New Roman'; font-size: xx-small; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: -webkit-auto; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #666600; font-family: tahoma; font-size: 13px; line-height: 19px; text-align: -webkit-center;">1. อันดับแรกให้ดูต้นที่สมบูรณ์ มีอายุ 6-8 เดือน (นับจากการปลูกใหม่หรือแทงหน่อใหม่)</span></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><br /></td></tr>
</tbody></table>
- <span style="color: red;">สังเกตุ ”ใบธง” ของกล้วยต้นนั้นๆ ว่าต้องม้วนแบบหลวมๆ ไม่แน่นและไม่คลี่เกินไป</span><br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsLDr_Yd9_sOmWJBGVoSTz12EkfZfADq7qhA2yml0-RrDM9pkRxAivIQH2A3jZ2fH9pKFV0OAh5cB98M6s19s-6iNSpv8IrjDWL7HIROAoyH4KYba2ojb9uwKQefVnWaK-abV6VasLW1Q/s1600/1437538891%255B1%255D.jpg" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsLDr_Yd9_sOmWJBGVoSTz12EkfZfADq7qhA2yml0-RrDM9pkRxAivIQH2A3jZ2fH9pKFV0OAh5cB98M6s19s-6iNSpv8IrjDWL7HIROAoyH4KYba2ojb9uwKQefVnWaK-abV6VasLW1Q/s320/1437538891%255B1%255D.jpg" width="213" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; -webkit-text-decorations-in-effect: none; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; border-collapse: separate; color: black; font-family: 'Times New Roman'; font-size: xx-small; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: -webkit-auto; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #666600; font-family: tahoma; font-size: 13px; line-height: 19px; text-align: -webkit-center;">2.สังเกต ”ใบธง” ของกล้วยต้นนั้นๆ ว่าต้องม้วนแบบหลวมๆ ไม่แน่นและไม่คลี่เกินไป</span></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="color: red;">- วัดความสูงจากพื้นดินขึ้นไป 1.5 เมตร ทำเครื่องหมายกว้าง 9 เซนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร เพื่อเตรียมเจาะ โดยเลือกเจาะด้านนอกกอฝั่งตรงข้ามของต้นแม่</span><br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgURi3zH_Uubwbn0lDOC4Z9jAP2VK1sZP93TrRzmJaR9PUjpyPt11hT3ZL_gbnwsx8EHx9V_WIc43wjV6EfsRozjBDrcdcr7WFr4miyOsO0NkKFlVfPcxgFa5ZqCXFQx-bCDj2Mz4kyULU/s1600/1437538953%255B1%255D.jpg" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgURi3zH_Uubwbn0lDOC4Z9jAP2VK1sZP93TrRzmJaR9PUjpyPt11hT3ZL_gbnwsx8EHx9V_WIc43wjV6EfsRozjBDrcdcr7WFr4miyOsO0NkKFlVfPcxgFa5ZqCXFQx-bCDj2Mz4kyULU/s320/1437538953%255B1%255D.jpg" width="213" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; -webkit-text-decorations-in-effect: none; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; border-collapse: separate; color: black; font-family: 'Times New Roman'; font-size: xx-small; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: -webkit-auto; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #666600; font-family: tahoma; font-size: 13px; line-height: 19px; text-align: -webkit-center;">3.วัด
ความสูงจากพื้นดินขึ้นไป 1.5 เมตร ทำเครื่องหมายกว้าง 9 เซนติเมตร สูง 15
เซนติเมตร เพื่อเตรียมเจาะ โดยเลือกเจาะด้านนอกกอฝั่งตรงข้ามของต้นแม่</span></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="color: red;">-</span><br />
<span style="color: red;"> ลงมือเจาะลำต้นกล้วยด้วยมีดปลายแหลม ในตำแหน่งที่ทำสัญลักษณ์ไว้ โดยค่อยๆ กรีดลงไปทีละชั้นของกาบกล้วยจนถึงแกนกลางลำต้นกล้วย แล้วตัดแกนกลางและดึงออก</span><br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUZ6dQXBwE_-5A5GbdASfeCuluklpc4Y-LKWEvfXU-gkIn_okyMeTG9m0uV4bnS6j6PWFoRXlUZrptKKcO4dmg833klfxv1RD1s3hS7xVojWZMLTnmQgGi4w_uLkQRWxp_Me8LZAyK2VE/s1600/1437539010%255B1%255D.jpg" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUZ6dQXBwE_-5A5GbdASfeCuluklpc4Y-LKWEvfXU-gkIn_okyMeTG9m0uV4bnS6j6PWFoRXlUZrptKKcO4dmg833klfxv1RD1s3hS7xVojWZMLTnmQgGi4w_uLkQRWxp_Me8LZAyK2VE/s320/1437539010%255B1%255D.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; -webkit-text-decorations-in-effect: none; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; border-collapse: separate; color: black; font-family: 'Times New Roman'; font-size: xx-small; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: -webkit-auto; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #666600; font-family: tahoma; font-size: 13px; line-height: 19px; text-align: -webkit-center;">4.ลง
มือเจาะลำต้นกล้วยด้วยมีดปลายแหลม ในตำแหน่งที่ทำสัญลักษณ์ไว้ โดยค่อยๆ
กรีดลงไปทีละชั้นของกาบกล้วยจนถึงแกนกลางลำต้นกล้วย
แล้วตัดแกนกลางและดึงออก</span></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<span style="color: red;">- นำแผ่นพลาสติกที่เตรียมไว้ตอกตรงส่วนบนสุดของช่องที่เจาะ</span><br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwylT7UwcWKNqYieUZzYqi3UaHoD3eesocYkHpSdMfQ2TWLtp4Wcej081icG7iAkiu_tDERNSR7W3f_uATqYrQ5Gql7pQ9whF8NXBkkmVf_1tfRcX7AQX7hWf2xPzPb04L-zmkvvLyOXw/s1600/1437539044%255B1%255D.jpg" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwylT7UwcWKNqYieUZzYqi3UaHoD3eesocYkHpSdMfQ2TWLtp4Wcej081icG7iAkiu_tDERNSR7W3f_uATqYrQ5Gql7pQ9whF8NXBkkmVf_1tfRcX7AQX7hWf2xPzPb04L-zmkvvLyOXw/s320/1437539044%255B1%255D.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; -webkit-text-decorations-in-effect: none; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; border-collapse: separate; color: black; font-family: 'Times New Roman'; font-size: xx-small; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: -webkit-auto; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #666600; font-family: tahoma; font-size: 13px; line-height: 19px; text-align: -webkit-center;">5.นำแผ่นพลาสติกที่เตรียมไว้ตอกตรงส่วนบนสุดของช่องที่เจาะ</span></span></td></tr>
</tbody></table>
<span style="color: red;">- พ่นยากันราให้ทั่วบริเวณที่มีรอยเจาะ</span><br />
<br />
เป็นอันเสร็จขั้นตอนการเจาะลำต้นเพื่อให้กล้วยตกเครือหลังจากนั้นอีกประมาณ1-2สัปดาห์จะเห็นว่ากล้วยจะค่อยๆ แทงเครือออกทางช่องที่เจาะเอาไว้ ก็สามารถดูแล รักษาเครือกล้วยต่อไปจนได้ระยะเวลาเก็บเกี่ยว ถ้าเป็นกล้วยไข่ก็ใช้เวลาประมาณ 30-45 วัน กล้วยหอม 40-60 วัน กล้วยน้ำว้า 80-120 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้โดยง่าย<br />
<br />
การบังคับกล้วยออกเครือกลางลำต้นเป็นอีกวิธี หรือเป็นอีกทางเลือกที่เกษตรกรสามารถนำมาใช้เพื่อการดูแลจัดการกล้วยได้สะดวกยิ่งขึ้น ป้องกันการโค่นล้มของลำต้น ลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหาย ไม่ต้องมีไม้ค้ำลดค่าใช้จ่าย<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
เกษตรกรที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณนิคม วงศ์นันตา สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทรศัพท์ (081) 951-5287<br />
<br />
<b>รูปและข้อมูลจาก http://www.technologychaoban.com </b>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-58680622141523848702015-09-08T18:05:00.000-07:002015-09-08T18:05:04.836-07:00ปลูกกล้วยน้ำว้าให้ขายตลอดปี สูตร อ.กัลยาณี สุวิทวัส สถานีวิจัยปากช่อง<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgSjvmK74ZOB-JHeiybLB7RGVr7rfWO8srMPaxUOhRO-yq64ICODiqH54voQbW74xjn6VlT0l0z7JoyyFkwIxeUMw4eat4P1BGudYd8heYlKZpxi4_on4OkfVaeyws54YiYuXFTiDr6iM/s1600/banana1p%255B1%255D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="531" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgSjvmK74ZOB-JHeiybLB7RGVr7rfWO8srMPaxUOhRO-yq64ICODiqH54voQbW74xjn6VlT0l0z7JoyyFkwIxeUMw4eat4P1BGudYd8heYlKZpxi4_on4OkfVaeyws54YiYuXFTiDr6iM/s640/banana1p%255B1%255D.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ปลูกกล้วยน้ำว้าให้ขายตลอดปี สูตร อ.กัลยาณี สุวิทวัส สถานีวิจัยปากช่อง</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="font-size: small;">อาจารย์กัลยาณี สุวิทวัส นักวิจัยชำนาญการพิเศษ
สถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงจำนวนเกษตรกรและพื้นที่ปลูกกล้วยน้ำว้า สายพันธุ์กล้วยน้ำว้า
พันธุ์ปากช่อง 50 อันเป็นผลงานวิจัยของอาจารย์กัลยาณี และคณะ</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />ลักษณะเด่นกล้วยน้ำว้า
พันธุ์ปากช่อง 50</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2551
ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานเด่นของสถานีวิจัยปากช่อง
อันเป็นสถานีที่วิจัยงานทางด้านไม้ผลเขตร้อนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบันถือเป็นสายพันธุ์ดีที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรอย่างกว้างขวาง กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50
เกิดจากการคัดเลือกสายพันธุ์กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองที่เก็บรวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยปากช่อง กว่า 10
สายพันธุ์
โดยพบว่าสายพันธุ์ที่คัดเลือกได้นี้มีคุณสมบัติที่เหมาะในการปลูกเพื่อการค้า</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #cc0000;">ลักษณะเด่น คือ</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #cc0000;">- เครือใหญ่
น้ำหนักเครือมากกว่า 30 กิโลกรัม (ไม่รวมก้านเครือ)</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #cc0000;">-
จำนวนหวีมากกว่า 10 หวี - จำนวนผลต่อหวีประมาณ 18 ผล</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #cc0000;">-
ผลกล้วยใหญ่อ้วนดี น้ำหนักผลโดยเฉลี่ยประมาณ 140 กรัม ต่อผล</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #cc0000;">-
ไส้กลางไม่แข็ง ออกสีเหลือง เนื้อแน่น</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #cc0000;">-
เมื่อสุกมีความหวานประมาณ 26 องศาบริกซ์</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br />ทั้งนี้
สิ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญของการวิจัยพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้เกษตรกรในประเทศไทยได้ปลูกกล้วยน้ำว้า
ที่ปลูกแล้วให้เครือใหญ่ คุ้มกับการลงทุน และภาคอุตสาหกรรมของกล้วยน้ำว้าจะได้มีการเติบโต
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“ปัจจุบันตลาดของกล้วยน้ำว้าในภาพรวมอยู่ในสภาพดี และราคาค่อนข้างดี
เพราะมีการนำกล้วยน้ำว้าไปใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
อีกทั้งยังมีการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ทำให้เกิดความต้องการกล้วยน้ำว้าสูงมากขึ้น”
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“ส่งผลทำให้กำไรที่เกษตรกรได้รับสามารถเทียบได้กับการปลูกกล้วยไข่และกล้วยหอม
อย่างกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ที่ปลูกเพื่อตัดเครือจำหน่าย
ในรายของเกษตรกรที่มีการจัดการบำรุงดูแลดีตามข้อแนะนำ จะมีกำไรจากการปลูก ประมาณ 10,000-12,000 บาท
ต่อไร่”
อาจารย์กัลยาณีกล่าว</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />ใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />จาก
การทุ่มเทและคลุกคลีกับการปลูกกล้วยน้ำว้ามาอย่างยาวนานกว่า
10 ปี
จึงทำให้อาจารย์กัลยาณีค้นพบเทคนิคการปลูกกล้วยน้ำว้าให้ประสบความสำเร็จ
อย่างน่าสนใจ
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปลูกกล้วยน้ำว้าของเกษตรกรโดยได้มีการจัดฝึก
อบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ที่น่าสนใจนี้ให้กับเกษตรกรที่นำกล้วยน้ำว้าปากช่อง
50 ไปปลูกมาอย่างต่อเนื่อง </span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งในข้อแนะนำของอาจารย์กัลยาณี คือ
การปลูกกล้วยน้ำว้า โดยเฉพาะพันธุ์ปากช่อง 50 นั้น สิ่งที่ต้องใส่ใจคือ
การดูแลรักษาเนื่องจากกล้วยเป็นไม้ผลที่ตอบสนองได้ดีกับสภาพอากาศดินและปุ๋ยเป็นอย่างมาก
หากการดูแลรักษาไม่ดี ขาดน้ำขาดปุ๋ย สภาพพื้นที่แห้งแล้งเกินไป กล้วยพันธุ์นี้จะให้ผลผลิตเพียง 7-8
หวีเท่านั้น แต่ผลยังอ้วนใหญ่ ไส้กลางไม่แข็ง เนื้อยังแน่นเหมือนเดิม</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;"> “ดังนั้น
อย่างกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50
ถ้าจะปลูกให้ได้ผลคุ้มค่าสูงสุดจึงจำเป็นต้องมีการดูแลรักษาที่ดีควบคู่ไปด้วย”
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">อาจารย์กัลยาณีกล่าว ในการดูแลรักษานั้น
อาจารย์กัลยาณีได้ให้ข้อแนะนำตั้งแต่เรื่องของ พันธุ์กล้วยที่นำมาปลูก
ควรใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทดแทนการใช้หน่อที่เคยทำกันมาแบบเดิม
การปลูกต้นกล้วยน้ำว้าจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
เป็นวิธีการสำคัญที่จะช่วยทำให้ลดปัญหาการสูญเสียจากการเข้าทำลายของโรคแมลงศัตรูกล้วยน้ำว้าได้เป็นอย่างดี
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“ด้วยสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น
ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคแมลงมากขึ้นและทำให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะโรคตายพราย และหนอนกอหรือด้วงงวงเจาะเหง้า ซึ่งจะฝังตัวอยู่ในเหง้า และพบมากในช่วงหน้าแล้ง
ทางที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน ดีกว่าการไปรักษา ที่ต้องลงทุนสูงมาก
ด้วยวิธีการปลูกด้วยการใช้ต้นพันธุ์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ”
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">วิธีการปลูกด้วยการใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
จะเหมาะสมมากในกรณีที่เป็นพื้นที่ปลูกใหม่ที่ไม่เคยพบการระบาดของโรคแมลงดังกล่าวมาก่อน
โดยปลูกชุดแรกเพียงชุดเดียว หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 7
ก็สามารถขุดหน่อที่ได้มาใหม่ไปปลูกขยายได้ จะทำให้เป็นแปลงปลูกที่ปลอดจากโรคแมลง
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“แต่ก่อนนี้ การปลูกต้นกล้วยน้ำว้าจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
เป็นสิ่งที่เกษตรกรไม่ให้การยอมรับ จึงได้มีการจัดทำแปลงสาธิต จัดอบรมเกษตรกรและผู้สนใจ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการหันมาปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกด้วยการใช้ต้นจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทดแทน
ซึ่งตอนนี้เกษตรกรที่เข้ามารับการอบรมได้เกิดความเข้าใจและปรับเปลี่ยนวิธีการหาต้นพันธุ์มาปลูก
ทำให้การผลิตต้นพันธุ์ของสถานีในขณะนี้ไม่เพียงพอกับความต้องการ”
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">อาจารย์กัลยาณีบอกว่า ดังนั้น ต้นกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50
ที่ทางสถานีจำหน่ายให้กับเกษตรกรนั้นจะเป็นต้นกล้วยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่มีความสูงมากกว่า 15
เซนติเมตร ซึ่งสามารถลงปลูกในแปลงปลูกได้เลย ในส่วนข้อดีของการใช้ต้นกล้วยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
คือขนย้ายต้นพันธุ์สะดวก ต้นพันธุ์ปลอดจากโรคและแมลงที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน ได้แก่ โรคตายพรายและหนอนกอ
เจริญเติบโตเร็ว การเก็บเกี่ยวทำได้พร้อมกันจำนวนมาก
อีกทั้งสามารถเก็บต้นพันธุ์ไว้ได้นานหากยังไม่พร้อมปลูกลงแปลง เป็นต้น</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />หลุมปลูกควรใหญ่
ปลูกระยะ 4x4 เมตร</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />เทคนิคต่อมาคือ
เกษตรกรควรมีการปรับเปลี่ยนวิธีจัดการดูแลแปลงปลูกให้เป็นระบบมากขึ้น อย่างเช่น ในเรื่องของหลุมปลูก
ได้แนะนำให้ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เป็นขนาด 50x50x50 เซนติเมตร
ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาขึ้นโคนหรือโคนลอยช้าลง สามารถอยู่ได้นานถึง 4-5 ปี แล้วจึงรื้อปลูกใหม่
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“เพราะระบบรากของกล้วยน้ำว้านั้นจะหากินในรัศมีไม่เกิน 50 เซนติเมตร
ทำให้รากสามารถหากินได้มากขึ้น กว่าวิธีการขุดแบบเดิมของเกษตรกรที่ขุดหลุมพอดีกับเหง้า
อีกทั้งในกลุ่มปลูกยังมีการใส่ปุ๋ยคอก ทำให้รากชอนลงด้านล่างเพื่อหาอาหาร ทำให้อาการรากลอยจึงช้าลง
แทนที่จะเป็น 1-2 ปี รื้อ เกษตรกรมีต้นทุนที่ลดลง” </span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">การไว้ใบกล้วยต่อต้น
อาจารย์กัลยาณีบอกว่า เมื่อก่อนเกษตรกรบอกว่า ถ้าต้นกล้วยเป็นโรคต้องตัดใบลงให้มากๆ เพื่อให้แสงเข้า
แต่เป็นแนวคิดที่ผิด เพราะต้นกล้วยจะสมบูรณ์ได้มาก ต้องมีใบมากเท่านั้น โดยเฉพาะในช่วงตกเครือ
ต้องมีอย่างน้อย 7 ใบ ถ้าต่ำกว่านี้ผลผลิตจะไม่ค่อยดี ดังนั้น จุดแก้ไขตรงนี้จึงต้องไปดูที่ระยะปลูก
โดยระยะที่เหมาะสมควรเป็น 4x4 เมตร </span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“ถ้าปลูกในระยะที่ถี่กว่านี้
จะประสบปัญหาต้นกล้วยในกอจะเบียดกัน เพราะจากที่ศึกษาพบว่า ถ้าปลูกที่ระยะ 2x2 หรือ 3x3 เมตร ในระยะ 1-2
ปีแรก จะได้ผล แต่เมื่อไว้กอ 4-5 ต้น ใน 1 กอ จะพบว่ามีการเบียดกัน
เพราะตามนิสัยของต้นไม้จะต้องพุ่งเข้าหาแสง ซึ่งส่งผลทำให้ต้นพุ่งสูงชะลูด แต่ระยะปลูก 4x4 เมตร
จะกำลังพอดีกับการเลี้ยงกอของต้นกล้วย 4 ต้น
และมีผลทำให้แสงสามารถส่องเข้าถึงพื้นที่ได้ดีด้วย”</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />แนะระบบไว้หน่อทุก 3 เดือน
ให้ออกผลผลิตทั้งปี</span><br />
<span style="font-size: small;"><br />อีกปัญหาหนึ่งที่อาจารย์กัลยาณีได้รับการสอบถามจากเกษตรกรคือ จำนวน 1 กอ
จะไว้ต้นกล้วยน้ำว้ากี่ต้น อาจารย์ได้ให้ข้อแนะนำว่า</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“ถ้าสังเกตจะพบว่าในกล้วยน้ำว้า 1
กอนั้น จะมีขนาดลำต้นเท่าๆ กันหมด และกันให้จำนวนเครือไม่เยอะ เมื่อศึกษาทำให้ได้ข้อมูลว่า ถ้าใน 1 กอ
ต้นกล้วยจะอายุเท่ากันหมด อาหารที่ต้นกล้วยจะต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน
โดยช่วงที่เจริญเติบโตก็ต้องใช้ปุ๋ยไนโตรเจนเหมือนกัน และเมื่อตกลูกก็ตกพร้อมกันอีก
ต้องใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมพร้อมกัน” </span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">อาจารย์กัลยาณีกล่าวต่อไปว่า
ถ้าเกษตรกรใส่สูตรเสมอ หรือคำนวณปริมาณปุ๋ยไม่เป็น
การใส่ปุ๋ยนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์ที่ตรงกับช่วงความต้องการ จึงได้ทำการศึกษาในเรื่องการไว้หน่อตาม
ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจถึงระบบการจัดการหน่อ </span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“เราทดลองในต้นกล้วยที่อายุ 6 เดือน
โดยถ้าพบว่ามีหน่อก่อนหน้านี้ให้ปาดทิ้งทั้งหมด พอหลังจากอายุ 6 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 1 พอหน่อที่ 1 อายุ
3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 2 หลังจากนั้นทุกๆ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 3 และ 4, 5 ตาม
โดยหน่อที่ขึ้นมาในช่วงที่ไม่ได้กำหนดให้ปาดทิ้งทั้งหมด ปรากฏว่า เมื่อจะไว้หน่อที่ 5
ต้นแม่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเครือกล้วยได้แล้ว ฉะนั้นจะกลายว่ากอนั้นมีต้นกล้วย 4 ต้น ที่อายุห่างกัน 3
เดือน โดยมีหน่อที่ 1 ที่อายุห่าง 6 เดือน ดังนั้น เมื่อใช้ระบบนี้ต่อไปหลายๆ
ปีจะทำให้กล้วยน้ำว้าในแปลงมีอายุห่าง 3 เดือน”</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“สาเหตุที่ไว้หน่อทุก 3 เดือน
มีเหตุผลว่า ด้วยการออกผลผลิตของกล้วยน้ำว้าในแปลงนั้นจะออกไม่พร้อมกัน ถึงแม้ไว้ใกล้เคียงกัน
จะมีการกระจายตัวในการเก็บเกี่ยวประมาณ 3 เดือน โดยจากข้อมูลที่ศึกษาจากการปลูกกล้วยน้ำว้าด้วยหน่อพบว่า
จะมีช่วงแรกที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วงกลางๆ จะเก็บได้ประมาณ 50
เปอร์เซ็นต์ และช่วงปลายเก็บได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">ทีนี้ถ้าค่อยๆ ปลูกหรือไว้หน่อไป
กล้วยที่ออกผลในช่วงปลาย 25 เปอร์เซ็นต์ จะไปรวมกับ 25 เปอร์เซ็นต์ของช่วงแรกในอีกแปลงหนึ่ง
จะทำให้ได้ผลผลิตรวมเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทั้งปีด้วยวิธีการนี้
ทำให้สามารถมีผลผลิตกล้วยน้ำว้าจำหน่ายให้กับพ่อค้าได้ตลอดทั้งปีและสามารถต่อรองราคากับพ่อค้าได้
โดยไม่ต้องถูกกดราคาเพราะจำเป็นต้องตัดขายทั้งแปลง” </span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">อาจารย์กัลยาณีกล่าว
ในส่วนของหน่อที่เกษตรกรควรเลือกเก็บไว้ในกอ อาจารย์กัลยาณีแนะนำให้เลือก หน่อใบดาบ หรือดูที่โคนต้น
ให้เลือกต้นที่โคนใหญ่ๆ ซึ่งแสดงว่ามีอาหารสะสมมาก สมบูรณ์มาก จะเป็นต้นที่ให้เครือใหญ่
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“แต่ถ้าเป็นต้นที่ใบใหญ่และมีลักษณะลำต้นเรียวเล็ก
หรือถึงแม้ว่าจะเป็นต้นที่เป็นใบดาบ แต่โคนเล็กก็อย่าไปเอา ให้ปาดทิ้งไปเลย นอกจากนี้
หน่อที่จะไว้ควรเป็นหน่อที่ไกลจากต้นแม่หน่อย ประเภทขึ้นติดโคนต้นแม่อย่าไปเอา สาเหตุเพราะต้นกล้วยจริงๆ
คือเหง้า หน่อที่แตกมาจากต้นแม่จะเป็นหน่อที่แตกมาจากเหง้า ซึ่งค่อนข้างจะลอยตามต้นแม่
แต่ถ้าเป็นหน่อที่ไกลจากต้นแม่คือ เหง้าที่มุดดินไปแตกใหม่ มีความแข็งแรงเหมือนกับต้นที่ปลูกใหม่
โคนจะลอยช้า”</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">พร้อมกันนี้
อาจารย์กัลยาณียังได้ให้คำอธิบายต่อไปถึงข้อแนะนำที่ให้ใช้วิธีการปาดหน่อออกแทนที่จะขุดหน่อทิ้งว่า
ด้วยการขุดหน่อนั้นจะเป็นการเสียทั้งเวลาและแรงงาน แต่การปาดหน่อ เดือนละ 1 ครั้ง
จะเป็นวิธีการที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน
</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;">“แต่ถ้าต้องการเอาหน่อที่ไม่ต้องการนั้น ขุดขายสามารถทำได้ แต่มีข้อแม้ว่า
ต้องดูต้นแม่ตกเครือหรือไม่ ถ้าตกเครือไม่ให้ขุดหน่อขาย เพราะจะมีผลกระทบต่อขนาดของลูกกล้วย
ถ้าขุดหน่อจะทำให้ลูกกล้วยไม่ใหญ่ มีลักษณะแคระแกร็น
ถ้าจะขุดหน่อจำหน่ายให้ขุดเมื่อเครือกล้วยจากต้นแม่แก่พร้อมเก็บเกี่ยวหรือเก็บเกี่ยวเครือกล้วยจากต้นแม่แล้ว
และต้นต่อไปยังไม่ตกเครือ เป็นจังหวะที่สามารถขุดหน่อจำหน่ายได้”</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">9
เทคนิคปลูกกล้วยน้ำว้าให้ได้ผลดี</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">สำหรับต้นกล้วยน้ำว้าปากช่อง
50 ซึ่งมาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ปัจจุบันสถานีวิจัยปากช่อง ได้ผลิตจำหน่าย ในราคาต้นละ 35 บาท
ซึ่งเกษตรกรที่นำต้นพันธุ์ของสถานีไปปลูกนั้น อาจารย์กัลยาณีบอกว่า มีเทคนิคที่ต้องใส่ใจ
ดังนี้</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">1. คัดเลือกต้นพันธุ์ที่มีขนาดความสูง 15
เซนติเมตรขึ้นไป หรือมีเส้นรอบวงต้นมากกว่า 3.5 เซนติเมตร หากต้นเล็กกว่านี้จะพบปัญหาเรื่องการดูแล
และอัตราการตายสูง</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">2. เตรียมแปลงปลูก ระยะ 3x3 หรือ 4x4 เมตร
ขนาดหลุมปลูก 50x50x50 เซนติเมตร เพื่อให้ระบบรากเดินดี ขึ้นโคนช้า ระยะปลูกขึ้นอยู่กับการดูแล
ถ้าดูแลดี กอกล้วยใหญ่ ควรปลูกระยะ 4x4 เมตร 1 กอ ควรใว้เพียง 4 ต้นเท่านั้น</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">3. คลุกเคล้าปุ๋ยคอกผสมดินประมาณหลุมละ 2 กิโลกรัม รองก้นหลุมขึ้นมาประมาณ 30 เซนติเมตร
แล้วจึงปลูกต้นกล้วยและกลบบริเวณโคนต้นให้แน่น ทำแอ่งดินรอบต้นเพื่อเก็บน้ำรักษาความชื้นของดิน
และควรรองก้นหลุมด้วยฟูราดานป้องกันหนอนกอกล้วยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อหลุม</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">4. ปลูกเสร็จให้น้ำตามทันทีให้ชุ่มชื้นพอเพียง ไม่เช่นนั้นต้นจะเหี่ยวเฉา
ใบแห้งและยุบตัว บางต้นตาย บางต้นแตกต้นใหม่ขึ้นแทนทำให้อายุต้นไม่สม่ำเสมอกัน</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">5. ในระยะเดือนแรกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และดินต้องชุ่มชื้นเพียงพอ
เป็นเดือนที่ต้องเอาใจใส่อย่างมาก หากเป็นการให้น้ำแบบฝอยหรือมินิสปริงเกลอร์ จะทำให้ต้นตั้งตัวได้เร็ว
สามารถสร้างใบและลำต้นใหม่ได้ดี โอกาสรอดสูงกว่าการลากสายยางรดน้ำ และเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ
16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้น หลังปลูกได้ 1 เดือน และเดือนที่ 2 ส่วนเดือนที่ 3
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทน</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">6. เดือนที่ 2 และ 3
ต้นกล้วยจะมีต้นและใบใหม่ทั้งหมด ปัญหาคือหญ้าขึ้นคลุมต้น ต้องถากหญ้าบริเวณโคนต้น
และฉีดยาฆ่าหญ้าพาราควอต ระหว่างแถว ต้องระวังอย่าให้ละอองยาโดนต้นกล้วย
จะทำให้ต้นชะงักและตายได้</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">7. เดือนที่ 4 การเจริญเติบโตเร็วมาก
ทั้งความสูงและรอบวงต้นใกล้เคียงปลูกจากหน่อพันธุ์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดต้นปลูกเริ่มแรก ถ้าสูง 15
เซนติเมตร ขึ้นไป จะโตทันกัน ถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ต้นรอดตายทั้งหมด
การดูแลทำเช่นเดียวกับการปลูกด้วยหน่อ โดยให้ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม
ต่อต้นในเดือนที่ 4 และ 5 ส่วนเดือนที่ 6 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทนและงดใส่ปุ๋ยจนกว่าจะแทงปลี
ถึงจะใส่ปุ๋ยเคมีอีกครั้ง จนกระทั่งหลังเก็บเกี่ยวถึงจะเริ่มให้ปุ๋ยในรอบใหม่</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">8. เดือนที่ 6 หรือ 7 กล้วยเริ่มแทงหน่อ
และสะสมอาหารเพื่อการตกเครือ</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #007700;">9. เดือนที่ 9 กล้วยเริ่มแทงปลี
การแทงปลีหรือตกเครือจะเร็วหรือช้ากว่าหน่อพันธุ์ ขึ้นอยู่กับขนาดลำต้นปลูกเริ่มแรกและการดูแลรักษา
หากต้นพันธุ์ที่มีขนาดความสูง 15 เซนติเมตรขึ้นไป หรือมีเส้นรอบวงต้นมากกว่า 4 เซนติเมตร
การตกเครือใกล้เคียงกับหน่อพันธุ์ ขนาด 1 เมตร หากต้นมีขนาดใหญ่กว่านี้ การตกเครือจะเร็วกว่าหน่อพันธุ์
และหากเล็กกว่านี้การตกเครือจะช้ากว่าหน่อพันธุ์
อายุเครือกล้วยจากการแทงปลีจนกระทั่งเก็บเกี่ยวมีอายุประมาณ 4 เดือน
เท่ากับหน่อพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วไป</span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br />ท่านที่สนใจจะทราบข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
สถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โทร. (044) 311-796</span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="font-size: small;"><br /><span style="color: #cc0000;">ข้อมูล:
นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน </span><a href="http://www.technologychaoban.com/"><span style="color: #cc0000;">www.technologychaoban.com</span></a></span>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-49064098820838959342015-05-18T01:17:00.001-07:002015-07-09T22:30:20.876-07:00การติดตั้งปั้มน้ำแบบต่างๆ <br />
<b><u>การติดตั้งปั้มน้ำแบบ 2 ระบบ (กรณีมีถังเก็บน้ำ)</u></b><br />
<br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbPK5YzeHET1np41NJ1YQvdcb3589LwUaiAw5I8WciPQR8glfF0bYCqqpKU9k6BfTqbnhvfsvU1l5NB4FEEECslkL5FMsZNjV2IrelwIge6_ahB_fxaGiPZQNinOUMCf8CEUYgWMubIbQ/s1600/2_pump_installation_system%5B1%5D.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbPK5YzeHET1np41NJ1YQvdcb3589LwUaiAw5I8WciPQR8glfF0bYCqqpKU9k6BfTqbnhvfsvU1l5NB4FEEECslkL5FMsZNjV2IrelwIge6_ahB_fxaGiPZQNinOUMCf8CEUYgWMubIbQ/s640/2_pump_installation_system%5B1%5D.jpg" /></a><br />
<br />
<br />
1) กรณีดูดน้ำจากถังเก็บน้ำโดยตรง<br />
1.1 เปิดวาว์ล 1,2 และ 3<br />
1.2 เปิดปั้มน้ำ <br />
2) กรณีน้ำปะปาเข้าบ้านโดยตรง ไม่ต้องผ่านปั้มน้ำ และถังเก็บน้ำ (น้ำปะปาไหลแรง)<br />
2.1 ปิดวาว์ล 1 และ 2<br />
2.2 ปิดปั้มน้ำ <br />
<br />
<br />
<br />
<b><u> การติดตั้งปั้มน้ำ 2 ระบบ (ไม่มีถัง)</u></b><br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvtCMr_sfoMEgP7p3cfCnH6_giDTfv05T2pu_MGwkf3iN9VenLGGHYoEPiOZaje8jD3d_4Put3qWRvQFwmlQicip59xQB7Ga5D-tbjWH9lrgRKUok0zg6iFqsZQziAa1ilN6O91Xh_VFM/s1600/2_pump_installation_system2%5B1%5D.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvtCMr_sfoMEgP7p3cfCnH6_giDTfv05T2pu_MGwkf3iN9VenLGGHYoEPiOZaje8jD3d_4Put3qWRvQFwmlQicip59xQB7Ga5D-tbjWH9lrgRKUok0zg6iFqsZQziAa1ilN6O91Xh_VFM/s640/2_pump_installation_system2%5B1%5D.jpg" /></a><br />
<br />
<br />
<br />
1) กรณีดูดน้ำจากถังเก็บน้ำโดยตรง (น้ำปะปาไหลอ่อน)<br />
1.1 เปิดวาว์ล 1,2 <br />
1.2 เปิดปั้มน้ำ <br />
2) กรณีน้ำปะปาเข้าบ้านโดยตรง ไม่ต้องผ่านปั้มน้ำ (น้ำปะปาไหลแรง)<br />
2.1 ปิดวาว์ล 1 และ 2<br />
2.2 ปิดปั้มน้ำ <br />
<br />
<br />
<br />
<u><b> การติดตั้งปั้มน้ำแบบ 3 ระบบ</b></u><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMCQfIAxg1usP-G_5_5J3MqI2E_zZXnCgmt6z7nyJovdG5DUP00Wbe0cDaQueduyFnY_InP-LnTw2Uvw9bIoIhnVo1uKJcAYhidG70GKrYSfITLAI6vI61A6bE-ot5EBwhT0OIZuVluqM/s1600/3_pump_installation_system%5B1%5D.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMCQfIAxg1usP-G_5_5J3MqI2E_zZXnCgmt6z7nyJovdG5DUP00Wbe0cDaQueduyFnY_InP-LnTw2Uvw9bIoIhnVo1uKJcAYhidG70GKrYSfITLAI6vI61A6bE-ot5EBwhT0OIZuVluqM/s640/3_pump_installation_system%5B1%5D.jpg" /></a><br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBH1uQT6Dg6jYLtZ883PYDXNezWqBeyjbAgSQQhUN3jsKHsLC-XPAmGwC-LAYSKXZcDqQIi7i-o9BNUR84jG4e_D9irNgeNhsNvMBRaErGv-UezgQWQA8NpptNPvDavG7NsBKufbx1VH0/s1600/4_pump_installation_system%5B1%5D.jpg"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBH1uQT6Dg6jYLtZ883PYDXNezWqBeyjbAgSQQhUN3jsKHsLC-XPAmGwC-LAYSKXZcDqQIi7i-o9BNUR84jG4e_D9irNgeNhsNvMBRaErGv-UezgQWQA8NpptNPvDavG7NsBKufbx1VH0/s640/4_pump_installation_system%5B1%5D.jpg" /></a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ข้อมูลจาก http://www.thaivestec.com/km/km001.phpArtemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2006523827760115474.post-38043397777553111852015-04-09T09:00:00.000-07:002019-11-04T17:52:44.304-08:00กำจัดอ้วนด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน<div style="text-align: center;"><strong>กำจัดอ้วน ด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน</strong></div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0CBiHHgjPJ1ztWSaEWeXQhXcu4p0wzjU1_QuH-eSdjtqyPpTyp2SfGq6LowhMNMjQTr_j5YeySfxZfMtB_YrcA26N3XZdpWNHtqCyYv8JsOINsQX39TDfawcTBUwAgWUUaix_0fJL_aM/s1600/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0CBiHHgjPJ1ztWSaEWeXQhXcu4p0wzjU1_QuH-eSdjtqyPpTyp2SfGq6LowhMNMjQTr_j5YeySfxZfMtB_YrcA26N3XZdpWNHtqCyYv8JsOINsQX39TDfawcTBUwAgWUUaix_0fJL_aM/s1600/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.jpg" height="272" width="400" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">รูปประกอบจาก internet</td></tr></tbody></table><br /><strong>Hospital Healthcare : </strong><strong>คอลัมน์ 360 องศากับแพทย์ทางเลือก</strong><br /><strong><br /></strong><strong>ความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่ง ตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีน ความอ้วนเกิดจากปัญหาภายในตัวเอง คือม้ามที่เป็นธาตุดิน เผาผลาญไม่ดีทำให้ม้ามอ่อนแอ และระบบขับถ่ายของเสียทำงานบกพร่อง หรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในทางการแพทย์แผนจีนบ่งบอกว่า มีไขมัน คอเรสเตอรอล เสมหะ ซีสต์ เนื้องอก รวมเรียกว่า ถาน แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า มี "เสมหะ" สะสมอยู่ข้างใน ทำให้ม้ามอ่อนแอ</strong><br />คณาเวชคลินิกฯ อธิบายว่า <strong>"ถาน"</strong> หรือ<strong> "เสมหะ" </strong> เกิดจากไฟหรือธาตุหยางในกระเพาะพร่อง สาเหตุที่หยางในกระเพาะพร่องเกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารเป็นหลัก อาทิ รับประทานของเย็น ไอศรีม น้ำแข็ง น้ำเย็น อาหารที่มีฤทธิ์เย็น ของหวาน ของมันๆ เป็นประจำ รวมถึงถูกความเย็นกระทบบริเวณท้อง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานบกพร่อง จนอาจกระทบถึงระบบม้าม และในเมื่อกระเพาะอาหารพร่องจึงไม่มีแรงขับดันของเสียลงสู่ลำไส้ ก่อเกิดของเสียตกค้าง แปรสภาพกลายเป็นเสมหะ เมื่อเสมหะสะสมมากขึ้นก็เริ่มเคลื่อนไหวไปอุดตันในอวัยวะต่างๆ กลายเป็นโรคต่างๆ มากมายตามมาได้ <br /><strong>ถาน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย </strong><br />1."ถาน" ที่มองเห็นสัมผัสได้ หรืออีกความหมายหนึ่ง เราสามารถมองเห็นเสมหะที่ถูกขับออกมา <br />2. "ถาน" ที่มองไม่เห็น หรืออีกความหมายหนึ่งเป็นเสมหะที่เกาะอยู่ในอวัยวะข้างใน ถ้าไปเกาะที่มดลูกนานๆ เสมหะจะกลายเป็นซีสต์ หรือเนื้องอก <br /><strong>ถ้า "ถาน" ไปเกาะที่ตับนานๆ ไปจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ดังนั้น ถ้าจะพิชิตความอ้วนให้อยู่หมัด ต้องทำให้ระบบม้ามแข็งแรง สามารถเผาผลาญได้ดี และสามารถขับสิ่งสกปรกออกมาเป็นอุจจาระ </strong><br />วิธีการรักษาโรคอ้วนตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีน เริ่มต้นจากการตรวจร่างกาย เพื่อตรวจดูว่าม้ามอ่อนแอ หรือพร่อง จากนั้นแพทย์จะรักษาตามอาการหนัก เบา ซึ่งขึ้นอยู่กับความอ้วนของแต่ละบุคคลที่ไม่เท่ากัน ถ้าอ้วนมาก เกิดไขมันอุดตัน ในการแพทย์จีนจะใช้วิธีฝังเข็มรักษา ควบคู่กับยาสมุนไพรเพื่อปรับความสมดุล และลดไขมัน เสริมให้ม้ามแข็งแรง เป็นต้น<br /><strong>ตัวยาสมุนไพรจีนที่เข้มข้น อาทิ </strong><br /><blockquote><strong><span style="color: red;">ซานจา</span> </strong>มีสรรพคุณช่วยย่อยขจัดอาหารตกค้าง <br /><strong><span style="color: red;">ปั๊วแห่</span> </strong>มีสรรพคุณช่วยขับชื้นละลายเสมหะ กดชี่ย้อนปรับกระเพาะให้สมดุล ระงับอาเจียน สลายเสมหะก้อน <br /><strong><span style="color: red;">แปะไก้จี่</span></strong> มีสรรพคุณช่วยขจัดน้ำส่วนเกิน เสมหะใส และเสมหะที่คั่งใต้ผิวหนังได้ดี อีกทั้งยุบบวม <br /><strong><span style="color: red;">ก๊วกเหม่งจี้</span></strong> มีสรรพคุณเพิ่มความชุ่มชื้นในลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างไขมันในตับ บำรุงสายตา <br /><strong><span style="color: red;">หวยหมั่วยิ้ง</span></strong> มีสรรพคุณ ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ลำไส้ และโสม ช่วยบำรุงหยวนชี่ บำรุงม้าม ใช้รักษาชี่ม้ามพร่องอ่อนแอ ซึ่งการใส่โสมเป็นการเพิ่มพลังชี่ ป้องกันความอ่อนเพลียจาการขับถ่าย และเพิ่มภูมิต้านทาน </blockquote><strong>โดยเมื่อรวมสมุนไพรทั้งหมด จึงมีสรรพคุณเพิ่มประสิทธิภาพการย่อย ช่วยระบบเผาผลาญ ขจัดของเสียที่คั่งค้าง ลดคอเรสเตอรอล ช่วยระบบขับถ่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขับพิษ เสมหะ หรือของเสียออกจากร่างกาย หรือเพื่อลดน้ำหนัก โดยหากรับประทานติดต่อกัน 1 อาทิตย์ น้ำหนักจะลดลง 1 กิโลกรัม และไม่ทำให้อ่อนเพลีย</strong><br /><strong><br /></strong><strong>ที่มา </strong><b>http://www.msn.com/th-th/health/other/%e0%b8%81%e0%b8%b3%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99/ar-BBi8sWe?ocid=iehp</b>Artemishttp://www.blogger.com/profile/15053906562947338390noreply@blogger.com0