หัวเชื้อจุลินทรีย์ EM


อีเอ็ม (EM) 

      ย่อมาจาก Effective Microorganism หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิงะ เริ่มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 และค้นพบอีเอ็ม เมื่อ พ.ศ. 2526 พบว่ากลุ่มจุลินทรีย์นี้ใช้ได้ผลจริง หลังจากนั้นศาสตราจารย์วาคุกามิ ได้นำมาเผยแพร่ในประเทศไทย
     ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิงะ พบว่ามีกลุ่มจุลินทรีย์อยู่ 3 กลุ่มรวมอยู่ในกระบวนปลูกพืชที่เกิดจากการหมัก งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นถึงจุลินทรีย์จำเพาะที่ดีที่มีอยู่ในดินและน้ำในสัดส่วนที่แน่นอน เขาจึงได้พัฒนาสูตรของ EM ในหัวเชื้อน้ำ EM ทางการค้า นั้นเป็นการผสมผสานของส่วนประกอบต่างๆ ของจุลินทรีย์หลายชนิดที่สามารถขยายส่วนทำเพิ่มเติมได้จากขนาดที่มีอยู่เดิมถึง 20 เท่า โดยการใส่หัวเชื้อน้ำ EM ผสมลงในน้ำและกากน้ำตาลจากนั้นก็หมักใส่ภาชนะปิดฝาไว้ประมาณ 3 วันถึงหนึ่งอาทิตย์หรือเป็นเดือนก็ได้ แล้วแต่วัตถุประสงค์ที่จะใช้ อีเอ็มเป็นของเหลวสีน้ำตาลดำซึ่งมีจุลินทรีย์ประมาณ 80 ชนิดที่สามารถย่อยสลาย อินทรียวัตถุ อีเอ็มสามารถใช้ในบ้านและครัวเรือนเหมือนกับสารธรรมชาติฆ่าเชื้อโรค เป็นตัวทำลายความสกปรกทั้งหลายช่วยให้เกิดการย่อยสลาย ไม่มีกาก ทำให้ส้วมไม่เต็ม ใช้กำจัดเศษอาหาร

ความสามารถและประโยชน์ในการใช้ EM
1. สามารถใช้ในบ้านเรือน ในชีวิตประจำวันได้
2. น􀃎ำของเสียจากอาหารกลับมาใช้ใหม่และเพิ่มคุณค่าอินทรียวัตถุ
3. ปรับปรุงโครงสร้างและคุณภาพดิน เพิ่มผลผลิต และกำจัดวัชพืชและโรคพืช
4. แก้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำและดิน
5. การทำเกษตรและพืชสวน ผลไม้ และการเพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับ
6. ในการเลี้ยงสัตว์และปศุสัตว์
7. ใช้ในการประมงสัตว์น้ำและสระว่ายน้ำ
8. ในสุขภาพส่วนบุคคลและร่างกายช่วยป้องกันและรักษาปัญหาทางสุขภาพ

วีธีการขยาย EM
EM 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำสะอาด 20 ส่วน หมักไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด
อย่าให้อากาศเข้าได้เป็นเวลา 7 วัน แล้วนำมาใช้ให้หมดภายใน 7 วัน
วิธีการเก็บรักษา EM
เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20 - 45 องศาเซลเซียส (อย่าเก็บในตู้เย็น) โดยปิดฝาให้สนิท
EM เสียสภาพ
หาก EM เปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่า ถือว่า EM ตาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก
ให้น􀃎ำ EM ที่เสียผสมน้ำรดกำจัดหญ้าและวัชพืชที่ไม่ต้องการได้ กรณีเก็บไว้นาน ๆ จะมีฝ้าขาว
เหนือผิวน้ำ แสดงว่า EM พักตัว เมื่อเขย่าภาชนะฝ้าขาวจะสลายตัวกลับไปอยู่ในน้ำเหมือนเดิมนำ
ไปใช้ได้ เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำและกากน้ำตาล จะมีกลิ่นหอม และเป็นฟองขาว ๆ ภายใน 2-3
วัน ถ้าไม่มีฟอง น้ำนิ่งสนิทแสดงว่าการหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล


สูตรที่ 1 : การทำหัวเชื้อจุลินทรีย์

วัสดุอุปกรณ์
1. สับปะรด 3 ถ้วย
2. น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย
3. น้ำมะพร้าวสด 1 ถ้วย
4. กากน้ำตาล หรือน้ำตาลทรายแดง 1 แก้ว
5. ถังพลาสติก ขนาด 15-20 ลิตร 1 ใบ
6. ผ้าขาวบาง เชือกฟาง
7. ถ้วยพลาสติก (ถ้วยแกง)
8. น้ำ

วิธีทำ
1) นำเปลือกและเนื้อสับปะรดสับให้ละเอียด ตวงโดยใช้ถ้วยพลาสติก 3 ถ้วย ใส่ถัง
ที่เตรียมไว้
2) เติมน้ำซาวข้าว
3) เติมน้ำมะพร้าวสด
4) นำขั้นตอนที่ 1–3 คลุกเคล้าให้เข้ากัน
5) เติมกากน้ำตาล 1 แก้ว จากนั้นคนให้เข้ากัน
6) ใช้ผ้าขาวบางปิดปากถัง และใช้เชือกฟางรัดขอบถังให้แน่น
7) ทำการหมักทิ้งไว้ 7 – 10 วัน น้ำสีน้ำตาลที่เกิดอยู่ในถังคือหัวเชื้อจุลินทรีย์

หมายเหตุ : เก็บใส่ขวด ปิดฝาให้แน่นเก็บไว้ใช้ได้ 1 ปี ห้ามโดนแสงแดด และไม่ใส่ตู้เย็น ให้ตั้งไว้
ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ และมีแสงพอประมาณ
การขยายจุลินทรีย์ EM : ผสมจุลินทรีย์ EM 2 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำ 1 ลิตร
เข้าด้วย ในขวดพลาสติกชนิดฝาเกลียวปิดฝาให้แน่น เก็บไว้ 5 วัน จะเป็นหัวเชื้อขยาย เป็นการนำ
จุลินทรีย์มาขยายให้ได้จำนวนมาก ลดต้นทุนการนำไปใช้ หรือขยายต่อได้อีกเก็บได้นาน 3 เดือน
ประโยชน์ : ใช้ทำจุลินทรีย์น้ำ ฮอร์โมน สารไล่แมลงและจุลินทรีย์แห้ง ฯลฯ


สูตรที่ 2 : การทำฮอร์โมนผลไม้

วัสดุอุปกรณ์
1. มะละกอสุก 2 กิโลกรัม
2. ฟักทองแก่จัด 2 กิโลกรัม
3. กล้วยน้ำว้าสุก 2 กิโลกรัม
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
5. กากน้ำตาล 1 แก้ว
6. น้ำ 10 ลิตร

วิธีทำ : หั่นมะละกอ ฟักทอง กล้วยทั้งเปลือกและเมล็ด ใส่ในถังพลาสติก แล้วผสม EM และกาก
น้ำตาลอย่างละ 1 แก้ว ใส่น้ำ 10 ลิตร ปิดฝาให้แน่นหมักไว้ 7 – 8 วัน ก่อนใช้
วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร สำหรับฉีดพ่น หรือรดไม้พืชหรือไม้ดอก
ประโยชน์ : ทำให้ดอกติด ผลดก ขนาดโต น้ำหนักดี รสชาติอร่อย


สูตรที่ 3 : การทำฮอร์โมนยอดพืช

วัสดุอุปกรณ์
1. ยอด/ใบยูคาลิปตัส 1 กิโลกรัม
2. ยอดสะเดา (ยอดและเมล็ด) 1 กิโลกรัม
3. น้ำ 10 ลิตร
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
5. กากน้ำตาล 1 แก้ว

วิธีทำ
1) นำใบหรือยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา และน้ำ 10 ลิตร (1 ถัง) ต้มรวมกันจนเหลือน้ำ
ครึ่งถัง ทิ้งให้เย็น
2) ผสมจุลินทรีย์ และกากน้ำตาล หมักไว้ 7 – 10 วัน
วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร สำหรับฉีดพ่น หรือรดไม้พืชหรือไม้ดอก
ประโยชน์ : ทำให้ดอกติด ผลดก ขนาดโต น้ำหนักดี บำบัดน้ำเสีย


สูตรที่ 4 : สูตรไล่หอย เพลี้ยไฟ

วัสดุอุปกรณ์
1. ยอดยูคาลิปตัส 2 กิโลกรัม
2. ยอดสะเดา (20 ยอด) 2 กิโลกรัม
3. ข่าแก่ 2 กิโลกรัม
4. บอระเพ็ด 2 กิโลกรัม
5. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
6. กากน้ำตาล 1 แก้ว

วิธีทำ
1) นำยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา ข่าแก่ และบอระเพ็ด แต่ละอย่างแยกกันใส่ปี๊บ ใส่น้ำ
ให้เต็ม ต้มให้เหลือน้ำอย่างละครึ่งปี๊บ ทิ้งไว้ให้เย็น
2) นำมาเทรวมกันในถังใหญ่หรือโอ่ง ใส่จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว, กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝา
ให้สนิททิ้งไว้ 5 วัน

วิธีใช้ : ใช้ครึ่งแก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีด พ่น รด หรือราดในแปลงพืช ผัก ในนาข้าวเพื่อป้องกันใบ
ข้าวไหม้

ประโยชน์ : สารไล่หอย กำจัดเพลี้ยไฟ บำบัดน้ำเสีย


สูตรที่ 5 : สูตรไล่แมลง

วัสดุอุปกรณ์
1. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
2. กากน้ำตาล 1 แก้ว
3. น้ำส้มสายชู 5% 1 แก้ว
4. เหล้าขาว 28–40 ดีกรี 2 แก้ว
5. น้ำ   10 ลิตร

วิธีทำ
1) นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน ใส่ภาชนะปิดฝาให้สนิทหมักไว้ 7 – 10 วัน
2) เขย่าถังเบา ๆ วันละอย่างน้อย 1 ครั้ง และเปิดฝานิด ๆ ให้ก๊าซระบายออก
3) ครบกำหนดเทใส่ขวดพลาสติกปิดฝาเกลียว เก็บไว้ใช้ได้นาน 3 เดือน

วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีด พ่น หรือราดไม้ใบ ไม้ผล พืชสวน ทุกสัปดาห์
ประโยชน์ : สารไล่แมลงชนิดต่างๆ และบำบัดน้ำเสีย


สูตรที่ 6 : สูตรไล่แมลง (โดยใช้ลูกยอสุก)

วัสดุอุปกรณ์
1. ลูกยอสุก 1 กิโลกรัม
2. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
3. กากน้ำตาล 1 แก้ว

วิธีทำ : นำลูกยอสุกมาสับให้ละเอียด ใส่น้ำพอท่วมผสมจุลินทรีย์ EM กากน้ำตาล คนให้เข้ากัน
หมักไว้ 10 วันแล้วกรองเอาแต่น้ำมาใช้

วิธีใช้ : ใช้ 1 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร นำไปฉีด พ่น


สูตรที่ 7 : สูตรกำจัดไรในเห็ดและพืชต่าง ๆ

วัสดุอุปกรณ์
1. ใบน้อยหน่า 1 ถ้วย
2. ต้นข่า 1 ถ้วย
3 ตะไคร้หอม 1 ถ้วย
4. กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 1 แก้ว
5. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
6. น้ำ (ทิ้งไว้ 1 คืน) 1/2 ลิตร

วิธีทำ
1) นำใบน้อยหน่าสับละเอียด 1 ถ้วย ผสมต้นข่าสับละเอียด 1 ถ้วย จากนั้นใส่ตะไคร้หอม
ที่สับละเอียด 1 ถ้วย คลุกเคล้าให้เข้ากัน
2) เติมกากน้ำตาล และน้ำเปล่าลงไป ผสมให้เข้ากัน จากนั้นหมักไว้ 15 - 30 วัน

วิธีใช้ : ใช้ 1 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร นำไปใช้ฉีดพ่น
ประโยชน์ : กำจัดไรในเห็ดชนิดต่างๆ รวมทั้งพืชผัก บำบัดน้ำเสีย


สูตรที่ 8 : สูตรสารทำความสะอาด และลดมลพิษทางน้ำ

วัสดุอุปกรณ์
1. มะกรูด 1 ถ้วย
2. กากน้ำตาล 1 แก้ว
3. ผงขี้เถ้าผสมน้ำ หรือน้ำปูนใส 1 แก้ว
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
5. น้ำ (ทิ้งไว้ 1 คืน) 1 แก้ว
6. N70 (สารทำให้เกิดฟอง) 500 ซีซี

วิธีทำ
1) นำมะกรูดมาผ่าซีก ใส่กากน้ำตาล เติมน้ำเปล่า หมักทิ้งไว้ 3 เดือน
2) เติมน้ำปูนใส (นำปูนแดงละลายน้ำ ปล่อยให้ตกตะกอน ตวงแต่น้ำใสด้านบนมาใช้)
และสาร N70 (สารทำให้เกิดฟอง) หมักทิ้งไว้อีก 1 เดือน ก็จะนำมาใช้ได้

วิธีใช้ : ใช้ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่น รด
ประโยชน์ : เป็นน้ำยาล้างจาน ใช้ถูพื้น กำจัดคราบและกลิ่น บำบัดน้ำเสีย


สูตรที่ 9 : การทำจุลินทรีย์น้ำ (ใช้ได้ทันที)

วัสดุอุปกรณ์
1. จุลินทรีย์ EM 1 ช้อนโต๊ะ
2. กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำ 10 ลิตร

วิธีทำ : นำจุลินทรีย์ EM และกากน้ำตาล ผสมน้ำให้เข้ากัน

วิธีใช้ : พืช ผัก ใช้ฉีด พ่น ราด ทุก ๆ 3 วัน ไม้ดอก ไม้ผล พืชสวน ใช้ฉีด พ่นอยู่ ทุกๆ 7 วัน
ประโยชน์ : บำบัดน้ำเสีย กำจัดกลิ่น


สูตรที่ 10 : สูตรน้ำซาวข้าว

วัสดุอุปกรณ์
1. น้ำซาวข้าว 2 ลิตร
2. จุลินทรีย์ EM 4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1) นำน้ำซาวข้าว ประมาณ 2 ลิตร (หากไม่ถึง 2 ลิตร ให้เติมน้ำสะอาดลงไป)
2) ใส่จุลินทรีย์ EM 4 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วบรรจุในขวดพลาสติกชนิดฝาเกลียว
ปิดฝาให้สนิท
3) เก็บไว้ 4 วัน น้ำที่ได้มีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมจึงนำไปใช้
วิธีใช้ 1. ใช้แทนผงซักฟอก โดยใช้สูตรน้ำซาวข้าว ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:20 แช่ผ้าทิ้งไว้ 1 คืน
กรณีใช้เครื่องซักผ้า ประมาณ 500 ซีซี วันรุ่งขึ้นซักน้ำสะอาด และนำผ้าตากให้แห้ง ผ้าจะสะอาด
ไม่กระด้าง รีดง่าย
2. ใช้เป็นสเปรย์ดับกลิ่น โดยนำสูตรน้ำซาวข้าวใส่ขวดที่มีหัวฉีดเป็นละออง ดับกลิ่น
เหม็นติดเสื้อผ้า กลิ่นอับในรถยนต์
3. ใช้ผสมน้ำถูพื้นบ้าน พื้นครัว (อัตราส่วนต้องดูตามความสกปรก)
4. กรณีที่มีตะกอนที่ก้นขวด ให้ใช้เฉพาะน้ำที่ใสเท่านั้น
5. ใช้ให้หมดภายในเวลาประมาณ 4 วัน

ประโยชน์ : ถูพื้น ทำความสะอาด ซักผ้า ดับกลิ่น บำบัดน้ำเสีย

9 เคล็ดลับมืออาชีพในการภาพถ่ายให้ดูดีที่สุด

Nine professional tips for looking your best in photos

In our day and age, we’ve grown so used to posing for photos that we can hardly imagine things being otherwise. And yet, in most cases, this boils down to taking rushed selfies with our smartphones. It is quite another thing to undertake a fully-fledged photo shoot without relying on countless electronic filters to rectify your mistakes. Only a professionally made picture can truly capture the way we look, by showing both our blemishes and the features that make us attractive.
Especially for Bright Side, Roman Zakharchenko, an expert photographer, offers some invaluable advice that will help you look flawless in every picture!

Try to avoid making low-angle shots

Taking photos from a low angle makes portraits look more tense and is likely to ’add pounds.’ It is best to take photos of yourself and others at eye level — this will ensure that you won’t make your photo subjects look bulky or ’give’ them a massive double chin.

Don’t go for high-angle shots

High-angle shots make your head look disproportionately big compared to the rest of your body. Still, you might risk it if you want to go for something extra cute, like that famous Puss In Boots shot from Shrek!

Identify your ’lucky’ side

Nearly everyone’s facial features are asymmetric. Therefore, you’d be wise to identify your best-looking side and make sure that it faces the camera during the entire photo shoot.

Don’t draw your cheeks in

If you want to make your cheeks appear less prominent, don’t draw them in. Simply turn your face three-quarters away from the camera, and press your tongue to the roof of your mouth.

Master the art of squinting

Keeping your eyes wide open and your brows raised gives your face a surprised and somewhat alarmed expression. During photo sessions, it is best to keep your eyes slightly narrowed — this will make your gaze more confident and compelling.

Try not to scowl

Not only does scowling create a threatening impression, such posture also makes your nose appear longer! The right way to present yourself during a photo shoot is to look straight at the camera.

Lift your chin up

When photographing yourself from the side, raise your chin slightly to give your face more expression. Thanks to this simple trick, your cheeks and neck will appear more slender.

Don’t puff your lips

When sending an air kiss to the camera, try not to go over the top with your acting. Otherwise, it might look like you’re blowing a raspberry!

Smile naturally

A light and reserved smile is certain to make your features more pleasant, while a wide grin will only highlight any wrinkles.

And remember — the beauty of a photo portrait depends entirely on the skills of the photographer!


Model: Anastasia Naumova
https://brightside.me/

10 วิธีในการค้นหาข้อมูล google ขั้นเทพน้อยคนที่จะรู้

10 Ways to Search Google for Information That 96% of People Don’t Know About

In our era of advanced technology and high-speed Internet connections, you can find information on virtually anything. In the space of just a few minutes, we can find recipes for the tastiest pie or learn all about the theory of wave-particle duality.
But more often than not, we have to sift through a vast body of knowledge to get the information we need, and this can take hours rather than minutes. This is why Bright Side has put together a list of the most effective methods for searching Google to help you find the precious material you’re looking for in just a couple of clicks.

1. Either this or that

Sometimes we’re not sure that we’ve correctly remembered the information or the name we need to start our search. But this doesn’t have to be a problem! Simply put in a few potential variations of what you’re looking for, and separate them by typing the “|“ symbol. Instead of this symbol you can also use ”or." Then it’s easy enough to choose the result that makes the most sense.

2. Searching using synonyms

Our language is rich in synonyms. Sometimes this can be very convenient when doing research online. If you need to find websites on a given subject rather than those that include a specific phrase, add the "~" symbol to your search.
For example, if you search for the term "healthy ~food" you’ll get results about the principles of healthy eating, cooking recipes, as well as healthy dining options.

3. Searching within websites

Sometimes you read an interesting article on a website and find yourself subsequently wanting to share it with your friends or simply reread it. The easiest way to find the desired piece of information again is to search within the website. To do this, type the address of the site, then a key word or entire phrase from the article, and it should come up immediately.

4. The power of the asterisk

When our cunning memory decides to prevent us from recalling that one key word, phrase, or number we need in order to find what we’re looking for, you can turn to the powerful "*" symbol. Just use this in the place of the word/phrase you can’t remember, and you should be able to find the results you’re looking for.

5. When lots of words are missing

If it’s the lengthier half of the phrase you can’t remember rather than a single key word, try writing out the first and last words and putting “AROUND + (the approximate number of missing words)“ between them. For example, ”I wandered AROUND(4) cloud."

6. Using a time frame

Sometimes we urgently need to acquaint ourselves with events that occurred during a certain period of time. To do so, you can add a time frame to your search query with the help of three dots between the dates. For example, if we want to find out about scientific discoveries during the 20th century, we can write:

7. Searching for a title or URL

To help find the key words and name of an article, type “intitle:“ before the search term, without any spaces between them. In order to find the words from a URL, use ”inurl:".

8. Finding similar websites

If you’ve found something you really like online and want to find similar websites, type in "related:" and then the address of the site, again without a space between them.

9. Whole phrases

Framing the search term within quotation marks is the simplest and most effective way to find something specific and in the exact order you typed it in.
For example, if you type in the words I’m picking up good vibrations without quotation marks, the search engine will show the results where these words appear in any order on a website, as opposed to the specific order in which you typed them.
If, on the other hand, you type "I’m picking up good vibrations" within quotation marks, you’ll get only those results where these words appear only in the order you typed them in. This is a great way to find the lyrics to a song when you only know one line from it.

10. Unimportant search words

To remove unimportant search words from your query, simply write a minus symbol before each one. For example, if you want to find a site about interesting books, but you aren’t looking to buy them, you can write the following:

ข้าวราดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น (คะเระ ไรอิสึ - Kare raisu)








คะเระ ( kare - カレー ) หมายถึง.... แกงกะหรี่

ไรอิสึ ( raisu - ライス ) หมายถึง.....ข้าว




เครื่องปรุงหลักที่สำคัญในการทำแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่นก็คือ.....Japanese Curry Paste....( Kare - Raisu Pesuto = เครื่องแกงกระหรี่แบบสำเร็จรูป - คะเรรูว์)

เครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูป (คะเรรูว์)นั้น....มีหลากหลายยี่ห้อให้เลือก และมีการแบ่งระดับของความเผ็ด (แต่ขนาดที่เผ็ดมากสุดของญี่ปุ่นนั้น.... ก็ยังไม่เผ็ดเท่าเครื่องแกงของไทยเราหรอกนะค่ะ)

ขนาดของความเผ็ดแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ

- เผ็ดน้อย ( 甘口 - Ama Kuchi )
- เผ็ดปานกลาง ( 中辛 - Chuu Gara )
- เผ็ดมาก ( 辛口 - Karai Kuchi )

เวลาเลือกซื้อคะเรรูว์ให้สังเกตุตัวหนังสือที่เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น ดังรูปด้านล่าง (จะเห็นเป็นตัวหนังสือกำกับอยู่ด้านหน้าของกล่อง) อย่าดูที่สีของกล่อง ..เพราะแต่ละยี่ห้อ จะกำหนดสีของกล่องไว้ไม่เหมือนกัน








สูตรและวิธีทำที่เขียนครั้งนี้....แปลจากที่เค้าเขียนกำกับไว้ด้านหลังของกล่องเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูป แต่ละยี่ห้อของ "คะเระรูว์" อาจจะมากน้อยต่างกันนิดหน่อยค่ะ อาจจะใส่ แอ๊ปเปิ้ลฝนละเอียด หรือใช้ผักอย่างอื่นแทนก็ได้...แล้วแต่ความชอบของแต่ละบ้านค่ะ

ส่วนผสม..... (สำหรับ 3-4 คน)

- เนื้อวัว หรือ เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ (ตามชอบ) ....... 200 กรัม
- มันฝรั่ง....... 150 กรัม
- แครรอท...... 100 กรัม
- หอมหัวใหญ่..... 300 กรัม
- น้ำสะอาด....... 450 ซีซี
- นมสด หรือครีมสด....... 50 ซีซี (ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่ แต่ให้ไปเพิ่มในส่วนของน้ำสะอาดอีก 50 ซีซี
- น้ำมันพืช...... 1 ช้อนโต๊ะ
- ก้อนแกงกะหรี่ญี่ปุ่นสำเร็จรูป (kareruu)...... 100 กรัม

วิธีทำ  .ดูรูปประกอบ....

1. เนื้อล้างน้ำให้สะอาด ซับให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นพอคำ หรือจะใช้เป็นเนื้อสไลด์ หรือสับหยาบ ๆ ก็ได้ตามสะดวกค่ะ (แต่ถ้าหั่นเป็นก้อน อย่าให้ชิ้นใหญ่มาก...เพราะจะต้องต้มนาน กว่าเนื้อจะเปื่อย

2. มันฝรั่งปอกเปลือก ล้างน้ำสะอาด หั่นชิ้นพอคำ ควรหั่นให้ชิ้นใหญ่กว่าแครอทหน่อยค่ะ เวลาต้มจะได้สุกพร้อมๆ กัน

3. แครอท ปอกเปลือกล้างสะอาด หั่นชิ้นพอคำ

4. หอมหัวใหญ่ปอกเปลือก ล้างสะอาด ผ่าครึ่งลูก แล้วผ่า 4









นำกะทะ หรือหม้อ (ที่ไม่ติด) ตั้งเตาไฟ ใส่น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ พอน้ำมันร้อน นำหอมหัวใหญ่ที่เตรียมไว้ลงไปผัด (ผัดแค่แป๊ปเดียว ให้ใส่เนื้อลงไปผัดให้เนื้อสุกเหลือง จึงใส่แครอทลงไป ผัดต่ออีกซักพัก ใส่มันฝรั่งเป็นอันดับสุดท้าย ผัดต่อให้มันฝรั่งและแครอทโดนน้ำมันทั่ว






เติมน้ำสะอาดลงไป 450 ซีซี (รูปด้านซ้าย) ปิดฝาต้มด้วยไฟกลาง พอเดือดแล้วหรี่เป็นไฟอ่อน ต้มต่ออีกประมาณ 20 นาที ( คอยช้อนฟองออกทิ้งด้วยนะค่ะ )
ที่บ้านชอบให้แกงออกรสหวานหน่อย ก็เพิ่มแอ๊ปเปิ้ลหั่นสับหยาบ ๆ ลงไปสักครึ่งลูก (รูปด้านขวา) หรือจะใส่เห็ด , ผักอื่น ๆ ตามชอบก็ได้ค่ะ


ในกรณีที่จะเพิ่มผักอื่น ๆ....ก็ให้ใส่ต่อจากขั้นตอนที่แล้ว หลังจาก ใส่ลงไปแล้ว ให้ต้มต่ออีกสักพัก จนเนื้อและแครอทนิ่ม ลองใช้ไม้จิ้มแครอทดูก็ได้ค่ะ ว่านิ่มหรือยัง ส่วนมันฝรั่งไม่ต้องห่วง เพราะสุกง่ายอยู่แล้ว

รูปด้านซ้าย.......แกะกล่องและบิก้อนเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปเตรียมไว้ ที่บ้านมักจะใช้เครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปอย่างน้อย 2 ยี่ห้อ (( เพราะแต่ละยี่ห้อ รสชาดไม่เหมือนกัน )) อันนี้...ก็ได้เคล็ดลับมาจากเพื่อนคนญี่ปุ่น เค้าบอกว่าจะทำให้รสชาดของแกงกลมกล่อมขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ทำบ่อย ๆ ก็แค่ใช้ยี่ห้อเดียวได้ค่ะ

หลังจากที่เนื้อและผักทุกอย่างเปื่อยได้ที่แล้ว ให้ปิดไฟเตาแก๊ส ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ ปล่อยให้อุณหภูมิของแกงลดลงหน่อย (ประมาณ 5-10 นาที) แล้วจึงบิเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปใส่ลงไป (รูปด้านขวา) อย่าเพิ่งใส่ให้หมดกล่องนะค่ะ คนให้เครื่องแกงกะหรี่ละลาย แล้วชิมรสดูก่อน ถ้ารสเข้มข้นไม่พอค่อยใส่เพิ่ม ((ยังไม่ต้องติดไฟเตานะค่ะ)

อ้อ...เครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูป ถ้าใช้ไม่หมด....ให้นำใส่กล่องปิดฝา หรือใส่ถุงพลาสติก ปิดให้แน่น เก็บเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา จะได้เอาไว้ใช้ในคราวต่อไปได้ค่ะ


หลังจากใส่เครื่องแกงกะหรี่ลงไปแล้ว คนให้เครื่องแกงละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ให้ดูข้นและเหนียว ชิมรสดู ถ้ารสกลมกล่อมถูกใจแล้ว ให้เปิดไฟเตาแก๊สอีกครั้ง ต้มเคี่ยวต่อไปอีกสักพัก (หมั่นคนบ่อย ๆ ไม่งั้น....จะไหม้ติดก้นหม้อ) พอแกงเดือดอีกครั้งก็เสร็จ ตักเสริฟ์ได้


สำหรับคนที่ชอบแกงมีรสเข้มข้นและกลมกล่อมขึ้น....ให้เพิ่มนมสด หรือ ครีมสด เติมลงไปนิดหน่อย (ประมาณ 50 ซีซี) ในขั้นตอนที่ข้างต้น แล้วต้ม+คนให้เข้ากันดี

เสร็จพร้อมเสริฟ์....เครื่องปรุงและวิธีการทำไม่ยุ่งยากเลย....กลิ่นแกงหอมฟุ้ง...... ตักข้าวสวยใส่จานไว้ข้างหนึ่ง ตักแกงกะหรี่ราดไว้อีกข้างหนึ่ง ทานแกล้มกับผักดองแบบหวาน....อร่อยมาก ๆ ค้า

** แกงกะหรี่ญี่ปุ่น....ถ้าทำแล้วทานไม่หมด วันรุ่งขึ้นนำมาอุ่นให้ร้อน รสจะอร่อยกว่า ตอนที่ทำเสร็จใหม่ ๆ เสียอีกค่ะ เพราะน้ำแกงจะซึมเข้าเนื้อ**



ผักดองแบบหวาน...ที่มักจะนำมาทานแก้เลี่ยน คู่กับ ข้าวราดแกงกระหรี่แบบญี่ปุ่น

รักเกียว.... คล้ายกระเทียมดอง รสออกหวานเปรี้ยว

ฟุคุจิง ทสึเกะ....ทำมาจากหัวผักกาด (ไชเถ้า) หั่นชิ้นบาง ๆ แล้วนำมาดอง รสออกหวาน

ขอจบวิธีการนำเสนอ...."แกงกระหรี่แบบญี่ปุ่น" ไว้แค่นี้ก่อน ...เพื่อน ๆ ลองปรับเปลี่ยนทำทานกันดูและขอให้อร่อยกันทั้งครอบครัวนะค่ะ

ในส่วนของ...เนื้อสัตว์..นั้น...จะหั่นเป็นก้อน หรือ หั่นบาง ๆ หรือ สับหยาบ ๆ ได้ตามความชอบของผู้ทานค่ะ



















































ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tao-yiipun&month=25-11-2006&group=2&gblog=1

เอียวเล้ง-คาตั๊ง กระดูกหมูส่วนไหนต้มซุปยังไงให้อร่อย












เอียวเล้ง (เล้ง, เอียะเล้ง, เอียเล้ง) คือกระดูกสันหลังของหมู เวลานำมาขายมักจะหั่นมาให้ติดเนื้อด้วย ส่วน คาตั๊ง (คาตั้ง, คาตัง) คือกระดูกหน้าแข้งของหมู สิ่งที่ทั้ง 2 ส่วนนี้มีเหมือนกันก็คือเป็นส่วนที่คนนิยมใช้ต้มทำน้ำซุปกระดูกหมู โดยบางคนบอกว่าหากใช้เอียวเล้งต้มจะทำให้น้ำซุปหวาน ส่วนคาตั๊งจะทำให้น้ำซุปหอม จะเลือกใช้ส่วนไหนมาต้มก็แล้วแต่ความต้องการ หรือจะนำมาต้มรวมกันก็ยังได้




ซุปกระดูกหมูที่เราคุ้นชินกันจะมี 2 แบบ คือน้ำซุปใส กับน้ำซุปสีขาวขุ่น ซึ่งส่วนประกอบพื้นฐานและวิธีทำโดยรวมนั้นคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ทำให้สีของน้ำซุปแตกต่างกันก็คือ “ความแรงของไฟ” ที่ใช้ต้ม หากต้มด้วยไฟอ่อนจนถึงไฟกลาง จะได้น้ำซุปที่ใสเป็นสีทองดูน่ากิน เหมาะสำหรับนำไปทำแกงจืด ต้มซุป หรือปรุงเป็นต้มยำ แต่ถ้าต้มด้วยไฟแรงตลอด จะได้น้ำซุปสีขาวขุ่นจากคอลลาเจนในไขกระดูก เหมาะสำหรับนำไปทำราเมนแบบญี่ปุ่น




เคล็ดลับการต้มน้ำซุปกระดูกหมูให้อร่อยนั้นไม่ยาก แต่ต้องใช้ความอดทนและเวลาไม่ใช่น้อย เริ่มจากการนำกระดูกเอียวเล้งหรือคาตั๊งตามต้องการไปล้างให้สะอาด จากนั้นจึงต้มน้ำให้เดือดพล่าน นำกระดูกลงไปต้มประมาณ 5 นาทีเพื่อล้างเอาสิ่งสกปรกออก ไม่ต้องคนหรือช้อนฟองออกทั้งสิ้น สังเกตดูว่าน้ำจะมีฟองขุ่นๆและสิ่งสกปรกจำนวนมาก




จากนั้นนำกระดูกหมูขึ้น เทน้ำต้มรอบแรกทิ้ง ทุบกระดูกหมูให้แตกเพื่อให้ไขกระดูกออกมาง่ายขึ้น แล้วค่อยเริ่มต้มน้ำซุปกระดูกหมูด้วยการใส่กระดูกที่ต้มแล้วลงไปพร้อมน้ำสะอาดรอบใหม่ ใส่ผักได้ตามต้องการเพื่อเพิ่มความหวาน หากต้องการน้ำซุปใสให้ต้มจนเดือดครั้งหนึ่งแล้วลดไฟให้เหลือไฟอ่อนหรือไฟกลาง เคี่ยวไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอยากได้น้ำซุปสีขาวขุ่นแบบญี่ปุ่นให้ต้มด้วยไฟแรงตลอด ที่สำคัญต้องหมั่นช้อนฟองกับสิ่งสกปรกที่อาจหลงเหลือทิ้งและเติมน้ำไม่ให้ไหม้ ถ้าจะให้อร่อยควรเคี่ยวอย่างต่ำ 6 ชั่วโมง ยิ่งเคี่ยวนานก็จะยิ่งเข้มข้น




เคล็ดลับความอร่อยอย่างหนึ่งที่ทำให้น้ำซุปกระดูกหมูเข้มข้นและรสชาติดีคือคอลลาเจนจากไขกระดูก ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้ว คอลลาเจนยังเป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบถึง 75% ถ้าปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ผิวก็จะเริ่มเหี่ยวย่นมีริ้วรอย คอลลาเจนมีอยู่มากในเมนูเด็ดอย่างต้มซุปเปอร์ตีนไก่ ขาหมู คากิและน้ำซุปกระดูกหมู การกินอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนเหล่านี้จึงช่วยให้ผิวใสเด้งดึ๋ง ดูอ่อนกว่าวัยนั่นเอง





















ข้อมูลจาก https://www.pageqq.com/